ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ไทยยังคงครองแชมป์คู่ค้ากับ สปป.ลาว มูลค่าสูงถึง 5,443 เหรียญสหรัฐ ขณะที่นักธุรกิจไทยมีสัดส่วนลงทุนเป็นอันดับ 2 รองจากจีน เผยยังมีแนวโน้มที่ดีหลังรัฐบาลลาวตั้งเป้าสร้างรายได้ปีนี้สูงถึง 8,000 ล้านบาท พร้อมสนับสนุนนักธุรกิจ และนักลงทุนจากต่างประเทศเต็มที่
เช้าวันนี้ (19 ก.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 โรงแรมดอนจัน พาเลส นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว นางพิมล ปงกองแก้ว อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประเทศไทย ประจำ สปป.ลาว นางสุพัน แก้วคำเพ็ด อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สปป.ลาว ประจำประเทศไทย ศ.ดร.อ๊อด พงสะหวัน ประธานที่ปรึกษากลุ่มบริษัท พงสะหวัน กรุ๊ป สปป.ลาว และนายสุทธิชัย ปิยรัตรวรสกุล นายกสมาคมผู้ประกอบการรถเครนแห่งประเทศไทย ร่วมกันเสวนาในหัวข้อ “โอกาสทางธุรกิจและการลงทุนผู้ประกบการรถเครนใน สปป.ลาว”
ซึ่งสมาคมผู้ประกอบการรถเครนแห่งประเทศไทย ร่วมกับธนาคารพงสะหวัน สปป.ลาว จัดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านการค้าการลงทุนในภาพรวมของ สปป.ลาว รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ และการให้บริการทางวิชาการ และเทคนิคระหว่างผู้ประกอบการรถเครนจากประเทศไทย และ สปป.ลาว โดยมีนักธุรกิจจากทั้ง 2 ประเทศ ร่วมงานกว่า 100 คน
นางพิมล กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนใน สปป.ลาว ว่า ยังมีทิศทางและสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในรอบปีที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนใน สปป.ลาว เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขื่อน และพลังงานไฟฟ้า ธุรกิจบริการขนส่ง การบริการด้านต่างๆ โดยปัจจุบัน นักธุรกิจ และนักลงทุนไทยในที่ลงทุนใน สปป.ลาวมีทั้งหมด 665 โครงการ เงินลงทุน 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
เฉพาะในปี 2557 ที่ผ่านมา นักลงทุนไทยได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลลาวให้เข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่รวม 7 โครงการ วงเงิน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ที่เข้ามาลงทุนจัดตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ไทยยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญของลาวเป็นอันดับที่ 1 มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้า และส่งออก เพราะชายแดนติดกัน รวมทั้งการสัญจร และการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายขึ้น ซึ่งจากข้อมูลว่าด้วยการนำเข้าและส่งออกของทั้ง 2 ประเทศ พบว่า มีมูลค่ามากถึง 5,443 ล้านเหรียญสหรัฐ และพบว่า ร้อยละ 86 หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการค้าชายแดนทั้งหมด
“วันนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจ และนักลงทุนไทยที่จะเข้ามาลงทุน หรือทำธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ร่วมกับ สปป.ลาว โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันเปิดประชาคมอาเซียน เพราะยังมีประเทศที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจใน สปป.ลาวไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม รวมถึงกลุ่มประเทศยุโรป ไทยจึงต้องรีบช่วงชิงความได้เปรียบตรงนี้”
นางพิมล กล่าวว่า ธุรกิจรถเครนเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ควรเข้ามาลงทุนอย่างมาก ดูได้จากการก่อสร้างของโครงการขนาดใหญ่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม เขตชุมชนเมืองในหัวเมืองขนาดใหญ่ของลาวที่กำลังขยายตัวอย่างมาก
นางสุพัน กล่าวว่า การทำธุรกิจใน สปป.ลาวของนักธุรกิจต่างประเทศเป็นไปใน 3 ลักษณะ คือ การลงทุนด้วยตนเอง 100% การเป็นคู่ค้าหรือร่วมลงทุน และสัญญาการถือสิทธิครอบครองซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาล หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งธุรกิจรถเครนนั้น ลาวยังคงต้องการอย่างมาก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการให้บริการด้านวิชาการ และเทคนิควิธี เพื่อที่จะร่วมกันพัฒนาช่างฝีมือ หรือช่างเทคนิคของลาวให้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในปีนี้ทางการลาวยังเร่งแผนสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 แขวงบอลิคำไซ กับ จ.บึงกาฬ และแห่งที่ 6 แขวงสาละวัน กับ จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะทำให้การคมนาคมขนส่งหรือการทำการค้าร่วมกันสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของลาวยังคงเติบโตและขยายตัวต่อเนื่องถึงร้อยละ 17 ปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นอีก 1.5 เท่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า
เช้าวันนี้ (19 ก.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 โรงแรมดอนจัน พาเลส นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว นางพิมล ปงกองแก้ว อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ประเทศไทย ประจำ สปป.ลาว นางสุพัน แก้วคำเพ็ด อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สปป.ลาว ประจำประเทศไทย ศ.ดร.อ๊อด พงสะหวัน ประธานที่ปรึกษากลุ่มบริษัท พงสะหวัน กรุ๊ป สปป.ลาว และนายสุทธิชัย ปิยรัตรวรสกุล นายกสมาคมผู้ประกอบการรถเครนแห่งประเทศไทย ร่วมกันเสวนาในหัวข้อ “โอกาสทางธุรกิจและการลงทุนผู้ประกบการรถเครนใน สปป.ลาว”
ซึ่งสมาคมผู้ประกอบการรถเครนแห่งประเทศไทย ร่วมกับธนาคารพงสะหวัน สปป.ลาว จัดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านการค้าการลงทุนในภาพรวมของ สปป.ลาว รวมถึงการกระชับความสัมพันธ์ และการให้บริการทางวิชาการ และเทคนิคระหว่างผู้ประกอบการรถเครนจากประเทศไทย และ สปป.ลาว โดยมีนักธุรกิจจากทั้ง 2 ประเทศ ร่วมงานกว่า 100 คน
นางพิมล กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนใน สปป.ลาว ว่า ยังมีทิศทางและสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในรอบปีที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนใน สปป.ลาว เป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เขื่อน และพลังงานไฟฟ้า ธุรกิจบริการขนส่ง การบริการด้านต่างๆ โดยปัจจุบัน นักธุรกิจ และนักลงทุนไทยในที่ลงทุนใน สปป.ลาวมีทั้งหมด 665 โครงการ เงินลงทุน 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
เฉพาะในปี 2557 ที่ผ่านมา นักลงทุนไทยได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลลาวให้เข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่รวม 7 โครงการ วงเงิน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ที่เข้ามาลงทุนจัดตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ไทยยังคงเป็นคู่ค้าที่สำคัญของลาวเป็นอันดับที่ 1 มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้า และส่งออก เพราะชายแดนติดกัน รวมทั้งการสัญจร และการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายขึ้น ซึ่งจากข้อมูลว่าด้วยการนำเข้าและส่งออกของทั้ง 2 ประเทศ พบว่า มีมูลค่ามากถึง 5,443 ล้านเหรียญสหรัฐ และพบว่า ร้อยละ 86 หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการค้าชายแดนทั้งหมด
“วันนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจ และนักลงทุนไทยที่จะเข้ามาลงทุน หรือทำธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ร่วมกับ สปป.ลาว โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันเปิดประชาคมอาเซียน เพราะยังมีประเทศที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจใน สปป.ลาวไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม รวมถึงกลุ่มประเทศยุโรป ไทยจึงต้องรีบช่วงชิงความได้เปรียบตรงนี้”
นางพิมล กล่าวว่า ธุรกิจรถเครนเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ควรเข้ามาลงทุนอย่างมาก ดูได้จากการก่อสร้างของโครงการขนาดใหญ่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม เขตชุมชนเมืองในหัวเมืองขนาดใหญ่ของลาวที่กำลังขยายตัวอย่างมาก
นางสุพัน กล่าวว่า การทำธุรกิจใน สปป.ลาวของนักธุรกิจต่างประเทศเป็นไปใน 3 ลักษณะ คือ การลงทุนด้วยตนเอง 100% การเป็นคู่ค้าหรือร่วมลงทุน และสัญญาการถือสิทธิครอบครองซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาล หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งธุรกิจรถเครนนั้น ลาวยังคงต้องการอย่างมาก รวมทั้งการแลกเปลี่ยนการให้บริการด้านวิชาการ และเทคนิควิธี เพื่อที่จะร่วมกันพัฒนาช่างฝีมือ หรือช่างเทคนิคของลาวให้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในปีนี้ทางการลาวยังเร่งแผนสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 แขวงบอลิคำไซ กับ จ.บึงกาฬ และแห่งที่ 6 แขวงสาละวัน กับ จ.อุบลราชธานี ซึ่งจะทำให้การคมนาคมขนส่งหรือการทำการค้าร่วมกันสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของลาวยังคงเติบโตและขยายตัวต่อเนื่องถึงร้อยละ 17 ปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากถึง 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นอีก 1.5 เท่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า