พิจิตร - เมืองชาละวันเตรียมขอมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ทำแผนฟื้นฟูบึงสีไฟ หลังมีปัญหาน้ำแห้งขอดจนเกิดไฟไหม้วัชพืชกลางบึงซ้ำซาก 2 ปีซ้อน
นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และ ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประชุมร่วมกับตัวแทนของกรมเจ้าท่า, กรมทรัพยากรน้ำ พร้อมหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดพิจิตร ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพิจิตร
เพื่อบูรณาการในการทำแผนฟื้นฟูบึงสีไฟ ซึ่งมีพื้นที่ 5,300 ไร่ ที่อยู่ในสภาพน้ำแห้งขอด ทำให้สัตว์น้ำ และระบบนิเวศต่างๆ ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้เกิดไฟไหม้วัชพืชในบึงสีไฟหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดมลภาวะทางอากาศ
โดยที่ประชุมทุกฝ่ายได้ข้อสรุปว่าจะต้องทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นฟูแหล่งน้ำเอาไว้มากมาย ทางจังหวัดพิจิตรจึงขอให้มูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ เป็นผู้ประสานงานหลักในการฟื้นฟูบึงสีไฟ พร้อมทั้งส่งนักวิชาการ และทีมงานเข้ามาสำรวจหาทางเติมน้ำเข้าบึงสีไฟ ซึ่งในเบื้องต้นมีช่องทางเติมน้ำเข้าบึงสีไฟจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่เป็นคลองต่างๆ อยู่รอบบึงสีไฟ และเชื่อมกับคลองชลประทาน แม่น้ำพิจิตรเก่า แม่น้ำน่าน รวม 8 ช่องทาง
ด้านนายนพรัตน์ ตั้งกิตติถาวร รองผู้ว่าฯ พิจิตร ระบุว่า แหล่งน้ำที่จะเข้าสู่บึงสีไฟได้แบบรวดเร็วเร่งด่วน ใกล้ที่สุด มีปริมาณที่ชัดเจน คือ น้ำจากกรมชลประทานที่ระบายน้ำมายังคลอง C1 ใกล้กับสี่แยกเบี้ยวคอนกรีต ที่สามารถเปิดประตูน้ำให้น้ำไหลเข้าไปทางคลองข้างโรงเรียนสระหลวงพิทยาคม ที่กองทัพบกขุดไว้ แต่เส้นทางเดินของน้ำที่อยู่เลียบถนนบายพาสไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่จึงควรมีการปรับปรุง
นายสุรชัยจึงได้สั่งการให้ นายสมยศ แสงมณี ผอ.โครงการชลประทาน จ.พิจิตร ไปทำแผนและงบประมาณมาเป็นการเร่งด่วน โดยพร้อมจะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ
ขณะที่ ดร.รอยบุญให้ความมั่นใจในที่ประชุมว่า ถ้าได้รับการอนุมัติก็จะลงมือทำแผนฟื้นฟูบึงสีไฟให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ว่าฯ พิจิตรที่จะหางบประมาณมาลงมือดำเนินการได้ทันที ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็จะได้เห็นน้ำเข้าบึงสีไฟภายในปี 2558 นี้อย่างแน่นอน เมื่อมีน้ำ ธรรมชาติก็จะกลับคืนมา ความสวยงาม การท่องเที่ยวก็จะตามมาเอง แต่ทุกอย่างต้องได้รับความร่วมมือจากชาวพิจิตรทุกคน
