ศูนย์ข่าวศรีราชา - กองทัพเรือ ร่วมทุกภาคส่วนวางพวงมาลารำลึก 112 ปี แห่งการจากไป “เสด็จเตี่ย” เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
วันนี้ (19 พ.ค.) พล.ร.อ.พิจารณ์ ธีรเนตร ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานนำเหล่าข้าราชการกระทำพิธีวางพวงมาลาเพื่อถวายราชสักการะแด่พระบรมราชานุสาวรีย์ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์พระบิดาทหารเรือไทย ณ สวนกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื่องในวันอาภากร หรือวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ โดยมี ม.ร.ว.ดร.รุจิยากร อาภากร พร้อมด้วย พล.ร.ท.วิพากษ์ น้อยจินดา ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ ตำรวจ ภาครัฐ เอกชน และกลุ่มพลังมวลชนเข้าร่วมกระทำพิธี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ทรงเป็นรากฐานให้แก่กองทัพเรือไทย ให้ดำรงอยู่ตราบจนปัจจุบัน
ในพิธีได้มีการบรรเลงเพลงพระราชทาน เดินหน้า ดอกประดู่ และดาบของชาติ เพื่อรำลึกในพระปรีชาญาณของพระองค์ที่ทรงประพันธ์บทเพลงทั้ง 3 นี้ไว้ให้แก่กองทัพเรือ จากนั้นปืนขนาด 57 มม.ได้ยิงสลุต จำนวน 19 นัด เพื่อเทิดพระเกียรติ
สำหรับพระประวัติโดยย่อของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2446 ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด ในปีพุทธศักราช 2436 ได้เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ผลการศึกษาปรากฏอยู่ในขั้นดีเยี่ยม มีพระวิริยะอุตสาหะ พระจริยวัตรที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ของครู อาจารย์ และเป็นที่ยอมรับของชาวอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาได้เสด็จกลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโทผู้บังคับการ ในตำแหน่งนายธงผู้บัญชาการทหารเรือ
เมื่อปีพุทธศักราช 2448 ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงได้ปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้าดังปรากฏ ทำให้ทหารเรือไทย มีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และผู้บังคับบัญชาทหารเรือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ และเมื่อปีพุทธศักราช 2450 ทรงเป็นผู้บังคับการเรือหลวงมกุฎราชกุมาร นำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนช่างกล ไปฝึกภาคต่างประเทศ ได้ทรงนำเรือไปที่ประเทศสิงคโปร์ เปลี่ยนสีเรือจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้กลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังได้ทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างจริงจัง จนมีความรู้แตกฉาน ทรงเป็นหมอยาไทย รับรักษาประชาชนทั่วไปด้วยน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี จนได้รับพระสมัญญาว่า “หมอพร” แห่งราชนาวีไทย