ศูนย์ข่าวศรีราชา - กองทัพเรือ ร่วมทุกภาคส่วนวางพวงมาลารำลึก 111 ปี แห่งการจากไปของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
วันนี้ (19 พ.ค.) พล.ร.ท.เริงฤทธิ์ บุญส่งประเสริฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นประธานประกอบพิธีบวงสรวง ถวายเครื่องราชสักการะแด่พระบรมราชานุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์พระบิดาทหารเรือไทย ณ สวนกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื่องในวันอาภากร หรือวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์
โดยมีผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ ตำรวจ ภาครัฐ เอกชน และกลุ่มพลังมวลชน จำนวน 80 หน่วยงาน เข้าร่วมกระทำพิธี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ทรงเป็นรากฐานให้แก่กองทัพเรือไทย ให้ดำรงอยู่ตราบจนปัจจุบัน
จากนั้น พล.ร.อ.พิจารณ์ ธีรเนตร ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ในฐานะผู้แทนกองทัพเรือ ได้เป็นประธานนำเหล่าข้าราชการ กระทำพิธีวางพวงมาลาเพื่อถวายราชสักการะแด่ดวงพระวิญญาณของพระองค์ที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์
ซึ่งในพิธีได้มีการบรรเลงเพลงพระราชทาน เดินหน้า ดอกประดู่ และดาบของชาติ เพื่อรำลึกในพระปรีชาญาณของพระองค์ ที่ทรงประพันธ์บทเพลงทั้ง 3 นี้ไว้ให้แก่กองทัพเรือ จากนั้นหมู่ปืนเล็กได้ยิงสลุด จำนวน 19 นัด เพื่อเทิดพระเกียรติ
สำหรับพระประวัติโดยย่อของ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2446 ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด
ในปีพุทธศักราช 2436 ได้เสด็จไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ ผลการศึกษาปรากฏอยู่ในขั้นดีเยี่ยม มีพระวิริยะอุตสาหะ พระจริยวัตรที่งดงาม เป็นที่รักใคร่ของครู อาจารย์ และเป็นที่ยอมรับของชาวอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาได้เสด็จกลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ รับพระราชทานยศเป็น นายเรือโทผู้บังคับการ ในตำแหน่งนายธงผู้บัญชาการทหารเรือ
และเมื่อปีพุทธศักราช 2448 ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ ทรงได้ปรับปรุงการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้เจริญก้าวหน้า ดังปรากฏทำให้ทหารเรือไทยมีความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ สามารถเป็นครู และผู้บังคับบัญชาทหารเรือได้โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างประเทศ
และเมื่อปีพุทธศักราช 2450 ทรงเป็นผู้บังคับการเรือหลวงมกุฎราชกุมาร นำนักเรียนนายเรือ และนักเรียนช่างกลไปฝึกภาคต่างประเทศ ได้ทรงนำเรือ และที่ประเทศสิงคโปร์ เปลี่ยนสีเรือจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้กลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเล และภูมิประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังได้ทรงศึกษาตำราหมอยาไทยอย่างจริงจัง จนมีความรู้แตกฉาน ทรงเป็นหมอยาไทย รับรักษาประชาชนทั่วไป ด้วยน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี จนได้รับพระสมัญญาว่า “หมอพร” แห่งราชนาวีไทย