xs
xsm
sm
md
lg

ตามไปดู! หนุ่มอ้วน 174 กก. ที่ป่วยสารพัดโรค เผยสุขภาพดีขึ้นเกือบปกติหลังกินยาสมุนไพร “หมอเณร”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายทศพร อยู่ฤทธิ์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อาชีพขายของฝากที่หน้าน้ำตกไทรโยคน้อย กับครอบครัวปัจจุบันสุขภาพดีขึ้น
กาญจนบุรี...รายงาน

ตามไปดู “หนุ่มอ้วน” น้ำหนัก 174 กิโลกรัม ที่เจอสารพัดโรครุมเร้าเมื่อหลายเดือนก่อนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เผยสุขภาพดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติหลังกินยาสมุนไพร “หมอเณร” พร้อมเผยผลตรวจเลือดล่าสุดจากโรงพยาบาลเมื่อ 23 เม.ย.58 ผลเลือดจางปกติ ค่าตับปกติ จนแพทย์บอกไม่ต้องมาตรวจคลื่นหัวใจอีกแล้ว “หมอเณร” จี้หน่วยงานเกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐบาลเร่งให้การสนับสนุนจริงจัง เชื่อสมุนไพรไทยจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยหาศาล ก่อนที่สมุนไพรไทยจะตกไปเป็นของประเทศมหาอำนาจ

นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือ “หมอเณร” หมอยาสมุนไพรชื่อดัง และเป็นเจ้าของสวนสมุนไพร เลขที่ 36 หมู่ 10 ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ที่ได้พยายามดิ้นรนต่อสู้ลำพังตัวคนเดียวเพื่อให้ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนยาสมุนไพรไทยอย่างจริงจังมาหลายรัฐบาล จนถึงรัฐบาลในยุค คสช.ในปัจจุบันก็เคยกล่าวเอาไว้ว่า จะให้การสนับสนุนยาสมุนไพรมากขึ้น ซึ่งสร้างความหวังให้แก่ หมอเณร รวมทั้งวงการยาสมุนไพรทั่วประเทศ แต่สุดท้ายคำกล่าวนั้นก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความใส่ใจ

แต่หมอเณร ก็ยังคงจ่ายตัวยาสมุนไพรรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ที่สิ้นหวังต่อการไปรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน ตามโรงพยาบาลชื่อดังหลายแห่ง ทุกคนที่มาต่างมีอาการขั้นโคม่า ต้องให้บุตรหลาน หรือญาติพยุง หรืออุ้มขึ้นมาบนอาคารจ่ายยาสมุนไพรหมอเณร ผู้ป่วยบางรายที่มาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ แต่ที่บุตรหลาน หรือญาติที่นำมาก็หวังเพียงเป็นที่พึ่งสุดท้ายเท่านั้น

มาวันนี้ชื่อของหมอเณร ได้กลับมาสร้างความฮือฮาให้แก่วงการยาสมุนไพรไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ นายทศพร อยู่ฤทธิ์ อายุ 27 ปี ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว เส้นเลือดหัวใจตีบ ไตวายฉับพลัน เลือดจาง และกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี อาชีพขายของฝากที่หน้าน้ำตกไทรโยคน้อย ก่อนมากินยาสมุนไพรหมอเณร มีน้ำหนักถึง 174 กิโลกรัม จนปัจจุบันน้ำหนักลดลง 40 กิโลกรัม และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรคต่างๆ ที่รุมเร้าอย่างหนักก็มีอาการดีขึ้นจนเกือบจะปกติ

โดยเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2556 ขณะที่กำลังขายของอยู่ตามงานอยู่ๆ นายทศพร อยู่ฤทธิ์ ก็รู้สึกเหนื่อยหมดแรง แน่นหน้าอก อาเจียนเป็นเลือด นอนไม่ได้ หายใจไม่ออก ต้องอาศัยโซฟาสำหรับนั่งหลับ เมื่ออาการไม่ดีขึ้นครอบครัวจึงนำตัวไปรักษาครั้งแรกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ จ.นครปฐม ผลการตรวจเช็กพบว่า ป่วยเป็นโรคหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว 2 ลิ้น เส้นเลือดหัวใจตีบ 1 เส้น ไตวายฉับพลัน เลือดจาง กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี

นายทศพร เคยคิดแม้กระทั่งจะฆ่าตัวตายด้วยการวางแผนเดินไปให้รถชน เพราะตนเองได้ทำประกันชีวิตเอาไว้ หากตายไปแม่ก็จะได้เงินประกันมากกว่าการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ “นี่คือความคิดของนายทศพร ในขณะนั้น” แต่ครอบครัวของเขาก็ยังไม่สิ้นหวัง ทุกคนพยายามพาไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งใน จ.กาญจนบุรี และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้ง กทม. แต่ผลการบอกกล่าวของหมอแต่ละแห่งก็ยืนยันตรงกันว่า นายทศพร จะอยู่ได้อีกไม่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจมานอนรอความตายที่บ้านกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน

จุดเปลี่ยนชีวิตของ นายทศพร มาจากก่อนหน้านี้มีเพื่อนคนสนิทได้เช็กข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่รักษาโรคหัวใจด้วยยาสมุนไพร จึงไปพบข้อมูลการรักษาโรคหัวใจด้วยยาสมุนไพรของหมอเณร มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออยู่ด้วย ครั้งแรกนายทศพร ไม่ได้สนใจ เพราะที่ผ่านมา ตนคิดว่าเคยลองกินยาสมุนไพรหลายชนิดหมดเงินไปเป็นจำนวนมากแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น

แต่มาภายหลังได้เปลี่ยนใจ เพราะได้พูดคุยปรึกษากับแม่ และญาติๆ ว่า ที่ผ่านมา เราไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ หมดเงินไปมากมายก็ไม่หาย อย่างน้อยก็ยังมีทางเลือกสุดท้ายอยู่ ในที่สุดประมาณปลายเดือนตุลาคม 2557 แม่และญาติได้พามาพบหมอเณร ที่สวนสมุนไพรหมอเณร ขณะนั้นยังเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นมาเพราะน้ำหนักมาก

สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลังจากกินยาสมุนไพรได้เพียง 3 วันเท่านั้น อาการของนายทศพร ก็เริ่มเห็นผลทันที สามารถลงไปนอนบนเตียงได้แล้ว โดยไม่ต้องนั่งหลับอีกต่อไป ไม่ต้องตื่นมานั่งหอบกลางดึก สามารถนอนหลับตั้งแต่หัวค่ำ ไปตื่นนอนตอนเช้าเหมือนคนปกติทั่วไปได้

ที่สำคัญน้ำหนักตัวค่อยๆ ลดลงทุกเดือน จากที่เคยหนักกว่า 174 กิโลกรัม กินยาสมุนไพรได้ประมาณ 2 เดือน น้ำหนักลดลง 40 กิโลกรัม และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง อาหารการกินก็กินเป็นปกติทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหาร และที่สำคัญสามารถมาช่วยแม่ขายของที่ร้านได้ตามปกติ ทั้งแม่ และญาติ รวมทั้งเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันต่างดีใจเป็นอย่างมาก

นายทศพร อยู่ฤทธิ์ กล่าวยืนยันด้วยว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2556 ตนได้ไปพบหมอที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพื่อตรวจสุขภาพ ผลออกมาคือ ค่าเลือด ค่าไต ค่าตับ กลับมาเป็นปกติ หมอที่ตรวจถามแบบงงๆ ว่า อาการของตนกลับมาดีขึ้นได้อย่างไร แต่ตนก็ตอบหมอไปว่า ตนควบคุมอาหาร เพราะหากบอกว่าตนกินยาสมุนไพรของหมอเณร

หากหมอรู้ความจริงตนกลัวว่าหมอจะสั่งให้หยุดกิน ตนจึงไม่บอกความจริงแก่หมอ ซึ่งประมาณกลางเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ หมอที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ได้นัดให้ตนไปพบเพื่อตรวจหัวใจให้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนก็จะไปตามที่หมอนัดอย่างแน่นอน

“นี่ไม่ใช่เป็นเพราะปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะยาสมุนไพรอย่างแท้จริง จนปัจจุบันนี้ผมสามารถวิ่งออกกำลังกาย เล่นวอลเลย์บอลซึ่งเป็นกีฬาโปรดได้อย่างสบายใจ และไม่จำเป็นต้องไปตรวจหัวใจที่โรงพยาบาลอีกแล้ว เพราะหมอบอกเองว่าไม่ต้องมาตรวจคลื่นหัวใจอีกแล้ว” นายทศพร กล่าว

นายทศพร เปิดเผยอีกว่า สุขภาพปัจจุบันถือว่าค่อนข้างจะปกติมาก อาการของโรคหัวใจจากที่เคยนอนไม่ได้ ตอนนี้สามารถหลับนอนได้ตามปกติดี อาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก อาเจียนเป็นเลือดก็ไม่มีอีกแล้ว จะมีบ้างก็แค่อาการของโรคไตที่บางครั้งฉี่ขัดๆ แต่ถ้ากินยาสมุนไพรให้ตรงจำนวนครั้งก็จะฉี่ได้ตามปกติ มีบางครั้งที่ต้องกินยาขับปัสสาวะช่วยประคองไว้ แต่ก็กินในปริมาณที่น้อยมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่แอบหมอกินวันละ 1,500 มิลลิกรัม ทั้งๆ ที่ยาชนิดนี้กินได้ไม่เกินวันละ 80 มิลลิกรัม แต่ตอนนี้ 2-3 วัน จะกินแค่ 80 มิลลิกรัมเท่านั้น

“ที่สำคัญตอนนี้สามารถกลับไปออกกำลังกาย เล่นกีฬาได้ตามปกติ ไม่มีอาการเหนื่อย หายใจไม่ทัน ด้านอาหารการกินก็ดีกว่าเมื่อก่อน จากที่กินของดองไม่ได้เลย ถ้ากินเข้าไปจะบวมภายใน 24 ชั่วโมง แต่ตอนนี้ถือว่ากินได้เกือบปกติแล้ว จะมีบ้างก็แค่ระวังเรื่องน้ำดื่มที่ผมเองเป็นคนดื่มน้ำเยอะ ส่วนผลตรวจเลือดล่าสุด เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ผลเลือดจางปกติ ค่าตับปกติ ค่าไตเกือบปกติ 1 ส่วน ค่าโปรตีนที่เคยรั่วถึง 100 ปัจจุบัน ค่าโปรตีนเหลือแค่ 10-20 เท่านั้น ซึ่งหมอได้แนะนำว่าให้กินไข่ขาววันละ 1 ฟอง ก็จะช่วยได้” นายทศพร กล่าว

อีกรายเมื่อวันที่ 12 เม.ย.58 ที่ผ่านมา ร.ต.วิบูลย์ รอดอำพันธุ์ อายุ 66 ปี ข้าราชการบำนาญทหารบก นางอารีย์ รอดอำพันธุ์ อายุ 60 ปี ข้าราชการบำนาญครู ชาว จ.สุพรรณบุรี สองสามีภรรยาที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วยกันทั้งคู่

นางอารีย์ กล่าวว่า ตนเริ่มป่วยเป็นโรคเบาหวานมาตั้งแต่ปี 2544 รักษาตามโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงหลายแห่งแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น เท้าขวาเริ่มบวม และเขียวเชื้อลามไปถึงกระดูก สุดท้ายหมอจึงต้องตัดนิ้วนางขวาทิ้งไป เชื้อเริ่มลามไปที่นิ้วอื่นๆ หมอได้แต่บอกว่า หากไม่หายจะต้องตัดนิ้วทิ้งอีก นอกจากนี้ อาการของโรคเบาหวานลามไปที่ดวงตาทำให้มองไม่เห็น จึงต้องไปผ่าตัดดวงตา ประมาณปี 2552 โดยกินยาตามที่หมอสั่งมาตลอดกว่า 10 ปีที่ป่วย แต่ก็ไม่ดีขึ้น

จนกระทั่งเออร์ลีออกจากเป็นข้าราชการครู และมากินยาสมุนไพรหมอเณรครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2557 จากการที่น้องสาวที่เป็นนักวิชาการชำนาญการ สังกัดสำนักสาธาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สุพรรณบุรี พามาหาหมอเณร โดยหมอเณรได้สั่งกำชับให้กินยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนก็ทำตามที่หมอเณรสั่ง ซึ่งปรากฏว่า อาการเขียวที่เท้าเริ่มทุเลาลง และหายในที่สุด ส่วนอาการเวียนศีรษะก็หายไปเช่นกัน และเมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ไปหาหมอเพื่อตรวจดูอาการของโรคเบาหวาน

ปรากฏว่า ค่าไตจาก 40 กว่า ลดลงเหลือ 20 กว่า ความดันจาก 200 กว่า ลดลงเหลือ 150 กว่า ค่าน้ำตาลจาก 192 ลดลงเหลือ 150 ตนยอมรับว่า หลังจากินยาสมุนไพรของหมอเณรอาการต่างๆ ที่เคยเป็น เช่น อาการมึนศีรษะ หน้ามืด ฉี่ไม่สุด อาการเท้าชานิ้วชา รวมทั้งอาการคลื่นไส้ ไม่เป็นอีกแล้ว ทำให้นอนหลับได้นาน จิตใจก็ดีไปด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงเพียงเดือนละประมาณ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น

ส่วนสามีก็เช่นกัน อาการของโรคเบาหวานทำให้ขาบวมเขียวช้ำ หนังหุ้มนิ้ว และเล็บหลุดเหลือแต่กระดูก แต่หมอยังไม่ได้ตัดนิ้วทิ้ง เนื่องจากมากินยาสมุนไพรหมอเณรได้ไม่นาน ปรากฏว่า แผลที่นิ้วเริ่มแห้ง อาการบวมที่เท้าก็หาย กระดูกนิ้วที่หนัง และเล็บที่หลุดกลับมาเป็นปกติ

โดย น.ส.ศรีรัตนา จันทร์ฉาย นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สังกัด สสจ.สุพรรณบุรี และผู้แทนกลุ่มองค์การเอกชนพัฒนาด้านการแพทย์แผนไทย จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นน้องสาวนางอารีย์ กล่าวยืนยันอย่างมั่นใจว่า ในฐานะที่ตนก็เป็นพยาบาล และเป็นหมอแพทย์แผนไทยคนหนึ่ง มั่นใจในตัวยาสมุนไพรของหมอเณรเป็นอย่างมาก เมื่อเราเจอสิ่งดีๆ ก็อยากที่เผยแพร่ประสบการณ์ให้ประชาชนที่กำลังป่วยเป็นโรคเบาหวานได้รับทราบ และไม่ต้องไปตัดมือตัดเท้าอีกต่อไป

ด้าน นายชัยรัตน์ นนทชัย หรือหมอเณร กล่าวว่า ทุกวันนี้เราพบว่าการรักษาแบบแผนปัจจุบันหมอก็จะตัดแขนตัดขาคนไข้ไปเรื่อย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้การแพทย์แผนปัจจุบันไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับตัวยาสมุนไพรเลย ตนมองว่าควรที่จะเปิดโอกาสนำสมุนไพรที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันมารักษาควบคู่กันไปกับแพทย์แผนปัจจุบัน เชื่อว่าศักภาพในการรักษาคนไข้จะเพิ่มมากขึ้น

อีกทั้งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายของคนไข้ได้เป็นอย่างดี แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐบาลจะต้องให้ความสนใจ และให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง หากเป็นเช่นนั้นแล้วเชื่อว่าสมุนไพรไทยจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาล แต่หากตรงกันข้าม ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า สมุนไพรไทยจะตกไปเป็นของประเทศมหาอำนาจก็เป็นได้

“ผมสนับสนุนความคิดของ พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ ประธานคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการแพทย์แผนไทย ในคณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่พยายามปฏิรูปการแพทย์แผนไทย ให้จะครอบคลุมใน 5 ด้าน คือ 1.ด้านการบริหารจัดการ 2.ด้านการศึกษาและพัฒนากำลังคน 3.ด้านการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้แพทย์แผนไทย 4.ด้านบริการสุขภาพ และ 5.ด้านการอุตสาหกรรมสมุนไพร”

“รวมทั้งการปฏิรูปงบประมาณด้านการบริการการแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการสุขภาพ การปฏิรูปการแพทย์แผนไทยจะทำให้ประชาชนสามารถมีทางเลือกมากขึ้นในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ทั้งการแพทย์แผนไทย และแผนปัจจุบันที่มีคุณภาพทั่วถึง เพียงพอและยั่งยืน เกิดความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำประชาชน มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถดูแลตนเอง ประชาชนจะมีสุขภาพดีขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาก็จะถูกลง” นายชัยรัตน์ กล่าว



สภาพร่างกายช่วงที่กำลังป่วยหนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น