น่าน - รองประธาน สนช.คนที่ 2 ลงพื้นที่เก็บข้อมูลการตัดอุโมงค์ต้นไม้ขยายถนนน่านเชื่อม สปป.ลาวรับ AEC ก่อนเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้ (18 มี.ค.) ตัวแทนภาคประชาสังคม ย้ำ “อุโมงค์ต้นไม้” เป็นเสน่ห์ ช่วยสร้างความร่มรื่นให้คนผ่านทาง ขอให้รักษาไว้ บอกหากจำเป็นให้ขยายถนนด้านใดด้านหนึ่งแทน
บ่ายวันนี้ (17 มี.ค.) นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับนายชัยรัตน์ ธาราสันติสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน, นายแพทย์ บุญยงค์ วงศ์รักมิตร ที่ปรึกษาอาวุโสประชาคมจังหวัดน่าน และเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งตัวแทนประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
กรณีกรมทางหลวงมีโครงการขยายไหล่ทางถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง รวมระยะทาง 138 กิโลเมตร จนถึงชายแดนด่านห้วยโกร๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ เชื่อมกับเส้นทางใน สปป.ลาว เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และยังรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ คมนาคมของจังหวัดน่าน รวมทั้งรองรับ AEC ซึ่งโครงการนี้ต้องตัดต้นไม้ริมทางจำนวนมาก โดยเฉพาะอุโมงค์ต้นไม้หลายช่วง ซึ่งทางกลุ่มอนุรักษ์ร้องขอให้มีการปรับแบบเพื่อให้ตัดต้นไม้เท่าที่จำเป็น
นายประชาญ มะลิทอง ผอ.แขวงการทางน่านที่ 2 กล่าวว่า โครงการขยายไหล่ทางถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง จากความกว้าง 9 เมตรเป็น 12 เมตร รวมระยะทาง 138 กิโลเมตรจนถึงชายแดนห้วยโก๋น จะช่วยลดจุดเสี่ยงอันตราย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และยังรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ คมนาคมของจังหวัดน่าน รวมทั้งรองรับ AEC อีกด้วย
ขณะที่นายแพทย์ บุญยงค์ วงศ์รักมิตร ที่ปรึกษาอาวุโสประชาคมจังหวัดน่าน กล่าวว่า อุโมงค์ต้นไม้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของจังหวัดน่าน ช่วยสร้างความร่มรื่น ผ่อนคลายให้แก่ผู้ผ่านไปมา ซึ่งในการประชุมที่ผ่านๆ มาทางกลุ่มได้ร้องขอไม่ให้ตัดต้นไม้ โดยเฉพาะอุโมงค์ต้นสัก กม.ที่ 379-382 ซึ่งหากจำเป็นต้องขยายถนนจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ขอให้ทำการขยายด้านใดด้านหนึ่ง และทำการล้อมย้ายต้นไม้อย่างถูกวิธีเพื่อนำไปปลูกไว้ในที่ที่เหมาะสม
ทั้งนี้ การประชุมใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากสรุปรายงานข้อมูล ทางกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้นำภาพเปรียบเทียบถนนสายดังกล่าว ซึ่งถ่ายไว้เมื่อปี 2557 กับภาพปัจจุบันเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างก่อน และหลังทำการขยายถนน ไว้ประกอบการพิจารณา
ด้านนายพีระศักดิ์ระบุว่า มารับฟังความเห็นจากหลายๆ ฝ่าย หลังจากที่มีการยื่นหนังสือต่อทาง สนช.ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามโครงการ สนช.พบประชาชน และเปิดเวทีรับฟังกันให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว จึงต้องป้องกันความเข้าใจผิดด้านการเผยแพร่ และรับข้อมูลข่าวสาร
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าบรรยากาศการพูดคุยของทุกฝ่ายเป็นไปอย่างมิตร และเชื่อว่าในการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างเป็นทางการวันพรุ่งนี้ (18 มี.ค.) จะมีข้อสรุปและทางออกที่ดี ซึ่งทาง สนช.พร้อมสนับสนุนทุกด้านหลังได้ข้อยุติแล้ว