เชียงราย - ระดับหมอกควันในตัวเมืองเชียงรายพุ่งสูงเกินกว่า 200 ไมโครกรัม/ลบ.ม.แล้ว ขณะที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเตรียมแผนรับมือวิกฤตหมอกควันกระทบการบิน ติดไฟต่างสี-พ่นน้ำช่วยนักบินนำเครื่องขึ้น-ลงอีกทาง
วันนี้ (11 มี.ค.) กรมควบคุมมลพิษรายงานสภาพอากาศว่า พื้นที่ อ.เมืองเชียงรายมีฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน สูงถึง 200 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ซึ่งสูงกว่าทุกวันที่ผ่านมา ทำให้สภาพอากาศทั่วไปขมุกขมัวอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ชายแดนไทย-พม่า สถานีสำนักงานสาธารณสุข อ.แม่สาย วัดได้ 170 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มนำหน้ากากกันฝุ่นละอองมาสวมใส่ และเกิดอาการแสบตาเมื่อต้องอยู่ในที่โล่งนานๆ
ด้านนายอิทธิพล บุญอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กล่าวว่า ท่าอากาศยานได้เตรียมแผนรับมือปัญหาหมอกควันไฟป่ามากจนส่งผลกระทบต่อการบินไว้ โดยจะติดตั้งสัญญาณไฟสีต่างกัน ตามระดับการมองเห็น ลดหลั่นกันไปตั้งแต่ 1,500 เมตร, 850 เมตร, 800 เมตร จนถึงระดับแค่ 200 เมตร เพื่อให้นักบินสามารถมองเห็นสถานะการบิน และทางวิ่งหรือรันเวย์ได้ต่อไป
นอกจากนี้ ทางท่าอากาศยานได้ฉีดพ่นน้ำทั่วบริเวณรอบท่าอากาศยานวันละ 3 เวลา เพื่อเป็นการลดความหนาของหมอกควันและสร้างความชุ่มชื้น รวมทั้งมีการติดสปริงเกอร์ไว้ที่บริเวณด้านทิศใต้ของสนามบิน ซึ่งเป็นจุดที่เครื่องบินจะบินลงแล้ว
ด้านนายวันชัย จงสุทธนามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, พ.อ.บัญชา ดุริยพันธ์ รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดทหารบกเชียงราย (กกล.รส.จทบ.ชร.) นำเจ้าหน้าที่เทศบาลฯ และทหาร ใช้เครื่องฉีดพ่นทำการพ่นละอองน้ำขึ้นไปในอากาศท่ามกลางสภาพอากาศที่ขมุกขมัว และยังมีการระดมเจ้าหน้าที่ประมาณ 200 คนออกล้างถนน รดน้ำต้นไม้ แจกจ่ายเอกสารดูแลสุขภาพในสภาวะที่เกิดมลพิษทางอากาศและหมอกควัน ฯลฯ ทั่วบริเวณเทศบาลฯ ซึ่งช่วยลดปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มีประกาศจังหวัดเรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.-21 เม.ย.นี้ โดยตั้งเป้าให้สภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ไม่อันตรายต่อสุขภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 โดยให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ได้งดการเผาที่จะมีผลต่อการเกิดปัญหาฝุ่นละอองหมอกควันดังกล่าวอย่างเด็ดขาดในช่วง 60 วันนี้ และหากมีการเผาจนทำให้เกิดไฟป่าจะดำเนินคดีทางแพ่งและอาญาโดยเฉียบขาด ซึ่งมีโทษปรับสูงสุด 150,000 บาท และจำคุก 15 ปี รวมทั้งยังคงมีการเร่งประชาสัมพันธ์อย่างหนักในช่วงนี้ด้วย
