ศูนย์ข่าวศรีราชา - งามหน้า ตร.จร.พัทยา พร้อมอาสาตั้งด่านตรวจวินัยจราจรถนนพัทยาใต้ เจอ จยย.นักข่าวท้องถิ่นขับผ่าน เรียกตรวจพร้อมแสดงพฤติกรรมยัดยาเสพติด สุดท้ายเจอเพื่อนนักข่าวมาเห็นเหตุการณ์ ต้องอ้างเข้าใจผิด
กลางดึกคืนที่ผ่านมา (28 ก.พ.) ขณะที่ผู้สื่อข่าวประจำเมืองพัทยา ขับรถจักรยานยนต์กลับจากตระเวนทำข่าว ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพร้อมอาสาจราจร ที่ตั้งด่านตรวจวินัยจราจรพยายามที่จะยัดยาเสพติดให้แก่ผู้สื่อข่าว
นายทิวากร กฤษมณี อายุ 25 ปี ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์พัทยาพีเพิล ประจำท้องถิ่นเมืองพัทยา เปิดเผยว่า ได้ถูกเจ้าหน้าที่จราจร และอาสาจราจร สภ.เมืองพัทยา ซึ่งตั้งด่านตรวจวินัยจราจรถนนพัทยาใต้ เรียกตรวจรถจักรยานยนต์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พยายามยัดยาเสพติดให้ตน โดยอ้างว่าโยนยาเสพติดทิ้ง จึงชี้แจงว่า ขับรถจักรยานยนต์ตระเวนหาข่าวเช่นปกติทุกวัน แต่วันเกิดเหตุพบด่านตรวจก็ให้ความร่วมมือนำรถจักรยานยนต์เข้าจอดให้ตรวจตามระเบียบ และไม่ได้อวดเบ่งว่าเป็นผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด
จากนั้นได้มีชายแต่งกายคล้ายตำรวจนอกเครื่องแบบ สวมหมวกแก๊ปสีดำ เสื้อคลุมสีดำ พกวิทยุสื่อสารเดินเข้ามาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรว่า ตนโยนยาเสพติดทิ้ง พร้อมพยายามพูดให้รับสารภาพว่า เป็นเจ้าของยาเสพติด ตนจึงปฏิเสธว่าไม่ใช่ และไม่ได้โยนยาทิ้งแต่ แต่บุคคลดังกล่าวยังคงยืนยันเสียงแข็งว่าตนเป็นคนที่ทิ้งยาเสพติด
ต่อมา กลุ่มเพื่อนนักข่าวที่กลับจากทำข่าว และผ่านมาเห็นเหตุการณ์ได้เข้ามาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนเกิดการโต้เถียงกัน ทำให้ประชาชนที่ถูกตรวจรถอยู่เป็นจำนวนมากใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเพื่อเผยแพร่ลงในโลกสังคมออนไลน์ เมื่อกลุ่มคนดังกล่าวรู้ว่า ผู้ที่โต้เถียงด้วยเป็นกลุ่มผู้สื่อข่าว อาสาจราจรที่แต่งกายในเครื่องแบบจึงเดินเข้ามาเจรจา และอ้างว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่เก็บรถของงานจราจรเท่านั้น และอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการเข้าใจผิด ส่วนยาเสพติดอาจจะเป็นของคนอื่น
นายทิวากร กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หากเป็นประชาชน หรือวัยรุ่นต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้จะทำอย่างไร อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังอ้างว่า ตนโยนยาเสพติดทิ้งโดยไม่นำยาเสพติดที่ถูกกล่าวอ้างมาแสดงให้ดู ที่สำคัญไม่ส่งให้แก่พนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบแต่อย่างใด
หลังจากนั้น จึงได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.สนั่น โคตะนนท์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เบื้องต้น พนักงานสอบสวนจะเรียกเจ้าหน้าที่จราจร รวมถึงอาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านในวันเกิดเหตุมาทำการสอบสวนอีกครั้ง