ใจจดใจจ่อ ผู้ป่วยแม่เมาะลุ้นศาลนัดชี้ขาดคดีฟ้อง กฟผ.พรุ่งนี้

ลำปาง - กลุ่มผู้ป่วยแม่เมาะใจจดใจจ่อรอลุ้นคดีฟ้อง กฟผ.เรียกร้องเงินเยียวยาผลกระทบจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หลังศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษากลุ่มแรกพรุ่งนี้ (10 ก.พ.) ส่วนอีกกลุ่มนัด 25 ก.พ. เผยสู้คดีกันมากว่าทศวรรษ จนหลายคนตายไปแล้ว

วันนี้ (9 ก.พ.) นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้ป่วยทั้งหมดรวม 318 รายที่ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ศาลสั่งยกเลิก-คุ้มครองชั่วคราวการเปิดเหมืองเฟส 5 และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ระหว่างปี 2535-2541 ที่ไม่มีเอกสารรับรองทางการแพทย์ และยังมีชีวิตอยู่ พร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ศาลปกครองเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.พ.) ทุกคน

“เราต่างตื่นเต้น และอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้โดยเร็วที่สุด ทุกคนตั้งความหวังไว้สูงสุดว่า จะได้รับความเมตตา และความเป็นธรรมจากศาล หลังร่วมต่อสู้เรื่องมลพิษมานานกว่า 23 ปี และนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการศาลมา 13 ปี ซึ่งระหว่างการต่อสู้ และรอคำพิพากษา หลายครอบครัวต้องสูญเสียพ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง สูญเสียคนที่รักไปมากแล้ว ขณะนี้ก็ยังมีคนเจ็บป่วยอีกจำนวนหนึ่ง แต่ก็ได้บอกแก่ทุกคนว่าต้องเผื่อใจไว้ด้วยหากผลออกมาไม่เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหวังไว้”

นางมะลิวรรณบอกอีกว่า แต่ตนก็ยอมรับว่าชาวบ้านคงต้านทานการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไม่ได้ อย่างไรเสียผู้ป่วยก็ยังคงจะต้องอยู่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าเก่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ หนีกันไม่ได้ จึงอยากวอนถึง กฟผ.ให้เห็นใจชาวบ้าน ขอให้ใช้หลักการอยู่ร่วมกัน หลักเมตตาธรรม ไม่ต้องรอให้มีคดีใหม่เกิดขึ้น ให้ กฟผ.เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่เคยได้รับผลกระทบโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

“เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่อนาคตจะต้องอยู่ร่วมกันต่อไป อยากให้ กฟผ.เข้าไปหาชาวบ้าน และช่วยเหลือด้วยความจริงจัง และจริงใจ ซึ่งชาวบ้านก็พร้อมที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ หลังศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษากรณีผู้ป่วยแม่เมาะที่ไม่มีใบรับรองแพทย์ในวันพรุ่งนี้แล้ว ในวันที่ 25 ก.พ. ศาลปกครองเชียงใหม่ยังได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณีผู้ป่วย 131 ราย ซึ่งมีเอกสารยืนยันทางการแพทย์เรียบร้อยทั้งหมดที่ยื่นฟ้อง กฟผ.ด้วย หากศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น กฟผ.จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 131 ราย (เดิม 142 ราย แต่ถอนฟ้องไป 11 ราย) รวมเป็นเงิน 1,086 ล้านบาท