อุบลราชธานี - ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจท่าดูดทรายริมแม่น้ำชี พบผู้ประกอบการดูดทรายทำตลิ่งพังเสียหายกว่า 2 จุด เบื้องต้นสั่งหยุดดำเนินการ พร้อมรายงานกรมเจ้าท่าดำเนินการต่อ ด้านชาวบ้านระบุอยู่ไม่เป็นสุข ขอทางการสั่งนายทุนหยุดดูดทรายโดยเด็ดขาด
วันนี้ (5 ก.พ. 58) นายวรานนท์ ยิ้มมงคล นายอำเภอเขื่องใน จ.อุบลราชธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม ทหาร ตำรวจ และชาวบ้านในตำบลชีทวน ได้ลงสำรวจพื้นที่บริเวณที่มีผู้ประกอบการเรือดูดทรายในแม่น้ำชีจำนวน 3 แห่ง ตามที่มีการร้องเรียนเรือดูดทรายทำให้เกิดตลิ่งพังและรถขนทรายเข้าออกชุมชนก่อความเดือดร้อนอย่างมาก
ผลการตรวจท่าทรายจำนวน 3 แห่ง คือ ท่าทรายมาทวี ตั้งอยู่บ้านท่าศาลา หมู่ 4 ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการดูดทราย ส่วนท่าทรายไผ่สีทอง ตั้งอยู่บ้านท่าศาลาหมู่ 5 ใบอนุญาตหมดอายุแล้ว และมีการดูดทรายจนตลิ่งพังเป็นแนวยาวกว่า 50 เมตร ส่วนท่าทรายอินแปลง 1999 ตั้งอยู่บ้านชีทวน หมู่ 3 ใบอนุญาตหมดอายุและมีตลิ่งพังอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ประกอบการยาวประมาณ 30 เมตร
หลังเข้าตรวจสอบ นายวรานนท์ ยิ้มมงคล นายอำเภอเขื่องใน ได้ประชุมร่วมกับชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปเบื้องต้นสั่งให้ผู้ประกอบการท่าทรายทั้ง 3 แห่งยุติการดูดทรายไว้ก่อน และให้ทำประชาคมจากชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนใหม่ว่าจะให้ดำเนินการต่อไปหรือไม่
ส่วนตลิ่งที่พังเสียหายจากการดูดทราย คณะกรรมการที่จังหวัดตั้งขึ้นจะรายงานด้านผลกระทบ เพื่อให้กรมเจ้าท่า ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เข้ามาดำเนินการต่อผู้ประกอบการต่อไป
ด้านนายปราชญ์ ดรุณพันธ์ อายุ 30 ปี ตัวแทนชาวบ้านชีทวนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบธุรกิจดูดทรายระบุว่า ตั้งแต่มีการดูดทรายในพื้นที่เมื่อหลายปีก่อนทำให้ชาวบ้านมีพื้นที่หาปลาได้น้อยลง เพราะมีการวางทุ่นดูดทรายขวางลำน้ำ และการดูดทรายทำให้ตลิ่งตามริมน้ำพัง เกรงมีผลกระทบต่อที่ไร่ที่นาของชาวบ้านที่อยู่ติดริมแม่น้ำ
ตลอดจนการขนย้ายทรายผ่านหมู่บ้าน ทำให้ทรายหล่นเรี่ยราด สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ชาวบ้านที่อาศัยสองฟากถนน จนปัจจุบันชาวบ้านไม่มีความสุขในการอยู่อาศัย ต้องการให้ทางการหยุดการอนุญาตให้ผู้ประกอบการเข้ามาดูดทรายอย่างเด็ดขาด
ขณะที่นายผดุงศิลป์ เหล่าสายเชื้อ ผู้ดูแลท่าทรายมาทวี กล่าวว่า ท่าทรายของตนยังไม่เปิดดำเนินการอยู่ระหว่างการทดลอง เมื่อได้รับใบอนุญาตจึงจะดำเนินการ และจะไม่ดูดทรายใกล้ตลิ่งเพื่อไม่ให้ตลิ่งพัง ซึ่งเรื่องนี้จะไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านต่อไปด้วย