กาญจนบุรี...รายงาน
“สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ มรดกทุ่งใหญ่ ไทย กะเหรี่ยง รามัญ สารพันธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นตะวันตก” นี่คือคำขวัญประจำอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยในขณะนี้
หลังจากสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานไม้ (สะพานมอญ) ยาว 850 เมตร ข้ามลำน้ำซองกาเรีย เชื่อมต่อระหว่างชุมชนชาวมอญ หมู่ 2 บ้านวังกะ และหมู่ 3 บ้านไหล่น้ำ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งถือว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2529 ด้วยดำริของพระราชอุดมมงคล หรือหลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดัง เทพเจ้าชาวมอญ หลังจากหลวงพ่ออุตตมะมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ภายหลังคณะสงฆ์ได้แต่งตั้ง พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม รูปใหม่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานไม้ (สะพานมอญ) ถูกกระแสน้ำพัดพังถล่มลงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเพื่อหาทางซ่อมบูรณะสะพานขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยขณะนั้นกระแสน้ำยังคงมีปริมาณมากและไหลเชี่ยวจึงไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้ แต่ด้วยความที่พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ที่มีมันสมองที่เฉียบแหลม ราวๆ ต้นเดือนสิงหาคม 2556 ได้ริเริ่มทำโครงการ “หนึ่งคน หนึ่งลำไม้ไผ่” เพื่อหาวัสดุมาสร้างสะพานลูกบวบข้ามลำน้ำซองกาเรียเพื่อทดแทนสะพานไม้ที่ขาดไป
โดยมีประชาชนชาวมอญ กะเหรี่ยง ชาวอำเภอสังขละบุรี หน่วยงานภาครัฐ ทหาร ตำรวจ อส. และจิตอาสา พร้อมใจเดินทางมาช่วยสร้างสะพานลูกบวบกันอย่างล้นหลาม ใช้เวลาเพียงแค่ 6 วันการสร้างสะพานลูกบวบก็ประสบผลสำเร็จ
สื่อมวลชนทุกแขนงต่างลงพื้นที่เกาะติดสถานการณ์เพื่อนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องทุกวัน ประชาชนที่ทราบข่าวต่างเดินทางไปเยี่ยมชมสะพานลูกบวบเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชาวอำเภอสังขละบุรีขึ้นมาในทันที ขณะเดียวกันทางวัดวังก์วิเวการามก็ได้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันบริจาคตามกำลังศรัทธาเพื่อนำรายได้ทั้งหมดมาซ่อมบูรณะสะพานไม้ที่ขาด ซึ่งทางจังหวัดกาญจนบุรีก็ได้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้ประชาชนทั่วไปร่วมบริจาคเช่นกัน
ภายหลังเริ่มขัดแย้งทางด้านความคิดกันระหว่างจังหวัดกาญจนบุรีกับวัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ต้องการซ่อมบูรณะสะพานไม้ด้วยการจ้างบริษัทเอกชนเข้ามารับเหมา แต่ทางวัดต้องการให้ชาวบ้านในพื้นที่ซ่อมบูรณะกันตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน สุดท้ายพระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการามต้องยอมถอยให้จังหวัดกาญจนบุรีใช้วิธีจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการ
แต่แล้วบริษัทเอกชนก็ไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ความขัดแย้งเริ่มทวีขึ้น ทหารเข้ามาไกล่เกลี่ยสำเร็จ จังหวัดกาญจนบุรียอมให้วัดวังก์วิเวการาม และชาวบ้านร่วมมือกันซ่อมบูรณะ โดยมีกำลังทหารช่างกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ เป็นกำลังหลัก สุดท้ายการซ่อมบูรณะสะพานไม้ก็สัมฤทธิผล เปิดใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 18 ตุลาคม 2557 ท่ามกลางประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาร่วมฉลองกันอย่างคับคั่ง สร้างรายได้ให้ชุมชนเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะช่วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวแน่นขนัด ท้องถนนทั้งกลางวันกลางคืนเต็มไปด้วยยวดยานพาหนะจนน้ำมันไม่พอเติม ตู้เอทีเอ็มเงินไม่พอให้กด โรงแรมรีสอร์ตทุกแห่งถูกจองล่วงหน้านานกว่า 3 เดือนจึงจะมีสิทธิ์พัก ถึงแม้จะนำเต็นท์มาเสริมก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งก็ขอดีใจกับชาวสังขละบุรีด้วย
แต่ปัญหาที่พบเริ่มเกิดขึ้นในพื้นที่ก็คือ นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาด้วยความตั้งใจเริ่มผิดหวัง และเสียความรู้สึก สาเหตุทั้งหมดมาจากคนในพื้นที่เอง...“ราคาค่าห้องพักถูกปรับขึ้นสูงลิ่ว บางแห่งมีการประมูลราคาค่าห้องใครจ่ายสูงสุดได้พัก บางคนทิ้งบ้านตัวเองให้นักท่องเที่ยวเช่าพักที่กางเต็นท์แน่นขนัด ห้องน้ำไม่พอ”
“ราคาอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิดแพงมากจนน่าตกใจ ผู้ประกอบการต่างฉวยโอกาสขึ้นราคาจากเดิมสูงขึ้นเป็นสองเท่า ก๋วยเตี๋ยวที่เคยขายชามละ 40 บาทขึ้นเป็น 50 บาท ข้าวผัดกะเพราไข่ดาวเคยขายจานละ 35-40 บาท ขึ้นเป็น 60 บาทแต่คุณภาพกลับลดลง”
“รวมทั้งมีการบังคับขายของใส่บาตร บังคับขายดอกไม้ ขยะล้น สะพานมอญคนแน่นเอี้ยด เบียดกันจนกลัวจะพัง”
นอกจากนี้ การที่มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากยังทำให้มีการแย่งลูกค้ากันเกิดขึ้น สุดท้ายเกิดการทะเลาะด่าทอกันต่อหน้านักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มระอามากขึ้น
ส่วนการบริการการท่องเที่ยวทางน้ำก็เช่นกัน เรือยนต์ที่นำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมโบสถ์ใต้น้ำที่ตั้งกันเป็นทีมขึ้นมาคอยบริการลูกค้าที่บริเวณสะพานลูกบวบต่างแย่งชิงลูกค้ากันอย่างอุตลุด เมื่อได้ลูกค้าคนขับเรือเร่งเครื่องยนต์ไปตามสายน้ำเพื่อให้ถึงจุดหมายกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสคลื่นขนาดใหญ่ หากเกิดอุบัติเหตุเรือล่มหรือชนกันกลางลำน้ำต้องมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างแน่นอน เพราะเรือบางลำนักท่องเที่ยวยังไม่ได้สวมเสื้อชูชีพเพื่อป้องกันอันตรายก็มีเป็นจำนวนมาก
นี่ก็ใกล้เทศกาลสงกรานต์แล้ว นักท่องเที่ยวก็คงจะมาเที่ยวอีกไม่น้อยเหมือนเช่นเคย...
ดังนั้น หากชาวอำเภอสังขละบุรี โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ทั้งเชิงสะพานฝั่งอำเภอสังขละบุรี และฝั่งมอญ ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต ที่ให้บริการการท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้วอยากให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวกันอีกก็จะต้องเร่งปรับปรุง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สบายใจเป็นการด่วน
ที่สำคัญ หน่วยงานภาครัฐและผู้นำท้องถิ่นจะต้องเร่งรีบลงพื้นที่เพื่อจัดระเบียบสังคมเป็นการเร่งด่วน หากทุกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยปล่อยให้ทุกคนต่างฝ่ายต่างทำตามใจตัวเอง เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานนักท่องเที่ยวที่ประสบปัญหาด้วยตัวเองจาก 1 คนก็จะเพิ่มเป็นสิบคน จากสิบคนก็จะเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยคนที่จะไม่มาท่องเที่ยวที่นี่อีก เพราะต่างคนต่างพูดต่อๆ กันไป เงินทองที่เคยสะพัดหลายร้อยล้านบาทก็จะหายไปในทันที หากยังเป็นอย่างเช่นที่ผ่านมา
“สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ มรดกทุ่งใหญ่ ไทย กะเหรี่ยง รามัญ สารพันธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นตะวันตก” นี่คือคำขวัญประจำอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยในขณะนี้
หลังจากสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานไม้ (สะพานมอญ) ยาว 850 เมตร ข้ามลำน้ำซองกาเรีย เชื่อมต่อระหว่างชุมชนชาวมอญ หมู่ 2 บ้านวังกะ และหมู่ 3 บ้านไหล่น้ำ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งถือว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2529 ด้วยดำริของพระราชอุดมมงคล หรือหลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดัง เทพเจ้าชาวมอญ หลังจากหลวงพ่ออุตตมะมรณภาพเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ภายหลังคณะสงฆ์ได้แต่งตั้ง พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม รูปใหม่จนถึงปัจจุบัน
หลังจากสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานไม้ (สะพานมอญ) ถูกกระแสน้ำพัดพังถล่มลงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเพื่อหาทางซ่อมบูรณะสะพานขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยขณะนั้นกระแสน้ำยังคงมีปริมาณมากและไหลเชี่ยวจึงไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้ แต่ด้วยความที่พระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ที่มีมันสมองที่เฉียบแหลม ราวๆ ต้นเดือนสิงหาคม 2556 ได้ริเริ่มทำโครงการ “หนึ่งคน หนึ่งลำไม้ไผ่” เพื่อหาวัสดุมาสร้างสะพานลูกบวบข้ามลำน้ำซองกาเรียเพื่อทดแทนสะพานไม้ที่ขาดไป
โดยมีประชาชนชาวมอญ กะเหรี่ยง ชาวอำเภอสังขละบุรี หน่วยงานภาครัฐ ทหาร ตำรวจ อส. และจิตอาสา พร้อมใจเดินทางมาช่วยสร้างสะพานลูกบวบกันอย่างล้นหลาม ใช้เวลาเพียงแค่ 6 วันการสร้างสะพานลูกบวบก็ประสบผลสำเร็จ
สื่อมวลชนทุกแขนงต่างลงพื้นที่เกาะติดสถานการณ์เพื่อนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องทุกวัน ประชาชนที่ทราบข่าวต่างเดินทางไปเยี่ยมชมสะพานลูกบวบเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชาวอำเภอสังขละบุรีขึ้นมาในทันที ขณะเดียวกันทางวัดวังก์วิเวการามก็ได้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันบริจาคตามกำลังศรัทธาเพื่อนำรายได้ทั้งหมดมาซ่อมบูรณะสะพานไม้ที่ขาด ซึ่งทางจังหวัดกาญจนบุรีก็ได้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อให้ประชาชนทั่วไปร่วมบริจาคเช่นกัน
ภายหลังเริ่มขัดแย้งทางด้านความคิดกันระหว่างจังหวัดกาญจนบุรีกับวัดวังก์วิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ต้องการซ่อมบูรณะสะพานไม้ด้วยการจ้างบริษัทเอกชนเข้ามารับเหมา แต่ทางวัดต้องการให้ชาวบ้านในพื้นที่ซ่อมบูรณะกันตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน สุดท้ายพระมหาสุชาติ สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการามต้องยอมถอยให้จังหวัดกาญจนบุรีใช้วิธีจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการ
แต่แล้วบริษัทเอกชนก็ไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ความขัดแย้งเริ่มทวีขึ้น ทหารเข้ามาไกล่เกลี่ยสำเร็จ จังหวัดกาญจนบุรียอมให้วัดวังก์วิเวการาม และชาวบ้านร่วมมือกันซ่อมบูรณะ โดยมีกำลังทหารช่างกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ เป็นกำลังหลัก สุดท้ายการซ่อมบูรณะสะพานไม้ก็สัมฤทธิผล เปิดใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 18 ตุลาคม 2557 ท่ามกลางประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาร่วมฉลองกันอย่างคับคั่ง สร้างรายได้ให้ชุมชนเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะช่วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวแน่นขนัด ท้องถนนทั้งกลางวันกลางคืนเต็มไปด้วยยวดยานพาหนะจนน้ำมันไม่พอเติม ตู้เอทีเอ็มเงินไม่พอให้กด โรงแรมรีสอร์ตทุกแห่งถูกจองล่วงหน้านานกว่า 3 เดือนจึงจะมีสิทธิ์พัก ถึงแม้จะนำเต็นท์มาเสริมก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั่วทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งก็ขอดีใจกับชาวสังขละบุรีด้วย
แต่ปัญหาที่พบเริ่มเกิดขึ้นในพื้นที่ก็คือ นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาด้วยความตั้งใจเริ่มผิดหวัง และเสียความรู้สึก สาเหตุทั้งหมดมาจากคนในพื้นที่เอง...“ราคาค่าห้องพักถูกปรับขึ้นสูงลิ่ว บางแห่งมีการประมูลราคาค่าห้องใครจ่ายสูงสุดได้พัก บางคนทิ้งบ้านตัวเองให้นักท่องเที่ยวเช่าพักที่กางเต็นท์แน่นขนัด ห้องน้ำไม่พอ”
“ราคาอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิดแพงมากจนน่าตกใจ ผู้ประกอบการต่างฉวยโอกาสขึ้นราคาจากเดิมสูงขึ้นเป็นสองเท่า ก๋วยเตี๋ยวที่เคยขายชามละ 40 บาทขึ้นเป็น 50 บาท ข้าวผัดกะเพราไข่ดาวเคยขายจานละ 35-40 บาท ขึ้นเป็น 60 บาทแต่คุณภาพกลับลดลง”
“รวมทั้งมีการบังคับขายของใส่บาตร บังคับขายดอกไม้ ขยะล้น สะพานมอญคนแน่นเอี้ยด เบียดกันจนกลัวจะพัง”
นอกจากนี้ การที่มีร้านค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากยังทำให้มีการแย่งลูกค้ากันเกิดขึ้น สุดท้ายเกิดการทะเลาะด่าทอกันต่อหน้านักท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มระอามากขึ้น
ส่วนการบริการการท่องเที่ยวทางน้ำก็เช่นกัน เรือยนต์ที่นำนักท่องเที่ยวไปเที่ยวชมโบสถ์ใต้น้ำที่ตั้งกันเป็นทีมขึ้นมาคอยบริการลูกค้าที่บริเวณสะพานลูกบวบต่างแย่งชิงลูกค้ากันอย่างอุตลุด เมื่อได้ลูกค้าคนขับเรือเร่งเครื่องยนต์ไปตามสายน้ำเพื่อให้ถึงจุดหมายกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสคลื่นขนาดใหญ่ หากเกิดอุบัติเหตุเรือล่มหรือชนกันกลางลำน้ำต้องมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างแน่นอน เพราะเรือบางลำนักท่องเที่ยวยังไม่ได้สวมเสื้อชูชีพเพื่อป้องกันอันตรายก็มีเป็นจำนวนมาก
นี่ก็ใกล้เทศกาลสงกรานต์แล้ว นักท่องเที่ยวก็คงจะมาเที่ยวอีกไม่น้อยเหมือนเช่นเคย...
ดังนั้น หากชาวอำเภอสังขละบุรี โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ทั้งเชิงสะพานฝั่งอำเภอสังขละบุรี และฝั่งมอญ ผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ต ที่ให้บริการการท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวแล้วอยากให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวกันอีกก็จะต้องเร่งปรับปรุง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สบายใจเป็นการด่วน
ที่สำคัญ หน่วยงานภาครัฐและผู้นำท้องถิ่นจะต้องเร่งรีบลงพื้นที่เพื่อจัดระเบียบสังคมเป็นการเร่งด่วน หากทุกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยปล่อยให้ทุกคนต่างฝ่ายต่างทำตามใจตัวเอง เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นานนักท่องเที่ยวที่ประสบปัญหาด้วยตัวเองจาก 1 คนก็จะเพิ่มเป็นสิบคน จากสิบคนก็จะเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยคนที่จะไม่มาท่องเที่ยวที่นี่อีก เพราะต่างคนต่างพูดต่อๆ กันไป เงินทองที่เคยสะพัดหลายร้อยล้านบาทก็จะหายไปในทันที หากยังเป็นอย่างเช่นที่ผ่านมา