ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - คาราโอเกะกลางเมืองเชียงใหม่ เก็บค่าบริการมหาโหดซ้ำซาก คราวนี้ 9 หนุ่มมาเลย์เที่ยว 3 ชม. เจอเรียกเก็บร่วม 1.2 แสนบาท พอร้องเรียนอ้างจ่ายค่าน้ำไกด์ไปแล้ว 30% แต่ยอมคืนเงินให้บางส่วน แฉชัดหากินเป็นขบวนการ นับสิบร้านจ่ายค่าน้ำแค่หัวละพัน โดนสั่งปิดเปลี่ยนชื่อเปิดใหม่ ทำเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีวันตาย
วันนี้ (18 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร้องเรียนว่าถูกร้านคาราโอเกะในตัวเมืองเชียงใหม่ เรียกเก็บค่าบริการแพงเกินจริงอีกแล้ว หลังจากเรื่องราวในทำนองนี้เคยเกิดขึ้นแบบซ้ำซาก แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยครั้งนี้มีรายงานว่า คืนวันที่ 16 ม.ค. ต่อเนื่องถึงวันที่ 17 ม.ค. 58 มีนักท่องชาวมาเลเซีย 9 คน เข้าไปใช้บริการคาราโอเกะ พ. ย่านถนนช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ แบบเหมาเป็นเวลาราว 3-4 ชม. โดยมีสาวนั่งดริงก์หมุนเวียนมาให้บริการ แล้วถูกเรียกเก็บเงินสูงถึงร่วม 120,000 บาท
ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเห็นว่าแพงเกินจริง จึงเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนในพื้นที่ กระทั่งมีการเจรจากันเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยตัวแทนร้าน พ. อ้างว่า ค่าบริการทั้งหมดเกือบ 120,000 บาทนั้น เป็นค่าน้ำที่ร้านจ่ายให้คนนำมาที่เป็นสี่ล้อแดง 30% และได้จ่ายไปแล้ว ไม่สามารถติดตามตัวได้ แต่ทางร้านยอมที่จะคืนเงินให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ส่วนหนึ่ง พร้อมกับนัดหมายไปลงบันทึกประจำวันไว้ต่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
ต่อมา เวลาประมาณ 23.00 น.เศษที่ผ่านมา นายยิบ ไว ชวน(Yim Wai Chuan) อายุ 34 ปี นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ต.มาโนช เยี่ยมเจริญ พงส.สภ.เมือง ว่า ถูกร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งย่านถนนช้างคลาน เรียกเก็บค่าบริการเกินความเป็นจริง
นักท่องเที่ยวชาวมาเลย์รายนี้ กล่าวว่า เขากับเพื่อนรวม 9 คน ได้เข้าไปเที่ยวคาราโอเกะดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 22.00 น. วันที่ 16 ม.ค. ถึงเวลา 01.00 น.วันที่ 17 ม.ค. เมื่อถึงเวลาเช็กบิลกลับพบว่า ถูกเรียกเก็บเงินค่าบริการสูงถึง 114,080 บาท จึงได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนนำเข้าแจ้งความต่อตำรวจ
จากนั้น พ.ต.อ.วีระยุทธ ประสบโชคชัย ผกก. สภ.เมือง ได้เรียก นายสุเทพ สิงหบุตร อายุ 24 ปี ชาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ผู้ดูแลร้านมาสอบสวน ทราบว่า ได้เรียกค่าบริการสาวนั่งดริงก์ ค่าอาหาร และเครื่องดื่มตามราคานั้นจริง พร้อมกับยินยอมคืนเงินส่วนที่คิดเกิน จำนวน 60,000 บาท และส่วนเงินบางส่วนที่เหลือได้จ่ายให้ผู้นำพาเป็นค่าน้ำไปแล้ว ซึ่งผู้เสียหายพอใจเมื่อได้รับเงินคืนบางส่วนคืน จึงไม่ติดใจดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบพบว่าร้านดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการ จึงมีคำสั่งปิดร้านดังกล่าวไม่มีกำหนด
ขณะที่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุนายล็อบ เวสเท่นบัค อายุ 38 ปี วิศวกรชาวฮอลแลนด์ได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.ชยพล ทาอุปรงค์ พนักงานสอบสวน สภ.เมือง ว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ และพนักงานร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งย่านศรีดอนไชย ในตัวเมืองเชียงใหม่ รุมเตะต่อยจนล้มลุกคลุกคลาน และสลบคาที่
ผู้เสียหาย กล่าวว่า ได้เข้าไปใช้บริการที่ร้านดังกล่าว โดยสั่งอาหาร และเบียร์มาดื่มไม่กี่ขวด แต่ก็จะมีหญิงสาวแวะเวียนเข้ามาดื่มด้วยตลอดทั้งที่ไม่ได้เรียกมานั่ง จากนั้นได้เรียกพนักงานของทางร้านมาเช็กบิล กลับถูกเรียกเก็บเป็นเงินกว่า 3 หมื่นบาท ซึ่งตนเองเห็นว่าแพงเกินความเป็นจริงจึงพยายามต่อรองราคาให้ลดลงเหลือประมาณ 1 หมื่นบาท แต่ทางร้านไม่ยินยอม สุดท้ายตนตัดสินใจไม่จ่าย จึงถูกกลุ่มพนักงาน และชายฉกรรจ์นับ 10 คนรุมทำร้ายจนสลบไม่ได้สติ และใบหน้าฟกช้ำตามร่างกายระบม เสื้อผ้ามีแต่ฝุ่น จึงมาแจ้งความตำรวจให้ดำเนินคดีกลุ่มพนักงานที่ทำร้ายตนเอง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา นายโรเบิร์ต นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย ก็ต้องวิ่งโร่ขึ้นโรงพักก อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ หลังเข้าไปเที่ยวคาราโอเกะ ซ. ในเมืองเชียงใหม่ เพื่อฉลองปีใหม่ แล้วถูกเรียกเก็บค่าบริการ 4 หมื่นกว่าบาท จึงจ่ายด้วยบัตรเครดิต แต่ต่อมากลับพบว่าธนาคารเรียกเก็บเงินถึง 7 หมื่นกว่าบาท
เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกผู้ดูแลร้านมาสอบสวน กลับอ้างว่า พนักงานเข้าใจผิดรูดบัตรเครดิตของนายโรเบิร์ตไป 2 ครั้ง ทำให้ยอดรวมเรียกเก็บเพิ่มเป็น 7 หมื่นกว่าบาท จากยอด 4 หมื่นกว่าบาท และยอมจ่ายเงินคืนให้ นายโรเบิร์ต เพื่อยุติเรื่อง
ทั้งนี้ มีรายงานว่าร้านคาราโอเกะในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่หากินในลักษณะนี้มีมากกว่า 10 ร้าน ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านศรีดอนไชย ช้างคลาน อ.เมือง ล้วนแต่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน โดยจะจ่ายค่าน้ำให้แก่ไกด์ในราคาหัวละ 1 พันบาท ไม่ได้หักให้ 30% ตามที่มีการกล่าวอ้าง จากนั้นก็จะหาทางเรียกเก็บค่าบริการในราคาที่แพงกว่าปกติ หากไม่จ่ายก็จะข่มขู่จนถึงขั้นรุมซ้อม ซึ่งเคยเกิดขึ้นทำนองนี้มาแล้วหลายครั้งในรอบร่วม 10 ปีที่ผ่านมา
และถ้าหากเกิดเรื่อง หรือถูกร้องเรียนก็จะมีการเจรจาคืนเงินให้ส่วนหนึ่งเพื่อให้เรื่องจบ หรือถ้าหากถูกสั่งปิดก็จะเปิดบริการในชื่อใหม่แทน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของเชียงใหม่มาตลอด โดยที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาใดๆ
