เชียงราย - รอง ผบ.ตร.ยกคณะบุกตรวจส่งออกน้ำมันผ่านแม่น้ำโขง สกัดขบวนการฉ้อฉลกินกำไรหลายต่อ ทั้งสำแดงเท็จส่งออกขอคืนภาษี ขนน้ำมันย้อนกลับมาขายในประเทศอีก หลังพบยอดส่งออกพุ่งเป็นปีละหลายพันล้าน
วันนี้ (12 ธ.ค.) พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อน (ปนม.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.จำลอง น้อมเศียร รอง ผบช.ภ.5 พ.ต.อ.วรพงศ์ คำลือ ผกก.สส.3 ภ.5 ในฐานะหัวหน้า ปนม.ภ.5 ไปที่ด่านศุลกากรห้าเชียง สามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ชายแดนไทย-สปป.ลาว-พม่า เส้นทางทางเรือแม่น้ำโขงเชื่อมถึงประเทศจีน
เพื่อตรวจตราตามมาตรการเฝ้าระวังการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังต่างประเทศโดยฉ้อฉลภาษีของรัฐ และปราบปรามขบวนการโกงภาษี หลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิต และศุลกากรในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากด่านดังกล่าวเป็นจุดส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงในแม่น้ำโขงด้าน จ.เชียงราย ซึ่งผู้ส่งออกได้รับการลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ จนทำให้ราคาน้ำมันส่งออกแล้วต่ำกว่าราคาในประเทศ
พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า เอกชนที่ส่งออกน้ำมันตามด่านชายแดนเขตภาคเหนือ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย มีอยู่หลายราย ส่วนใหญ่จะส่งออกดีเซล และเบนซินไปยังพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ เป็นมูลค่าปีละหลายพันล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ ชุด ปนม.ภ.5 ได้จับกุมผู้กระทำความผิดรฉ้อฉลภาษีได้แล้วหลายราย เพราะทำให้รัฐมีความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ซึ่งขบวนการเหล่านี้มีพฤติกรรมทั้งการสำแดงเท็จ ปลอมปนน้ำมันส่งออก นำน้ำมันส่งออกกลับมาขายในประเทศ
นอกจากนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังสามารถจับกุมผู้กระทำผิดลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน ด้านชายแดน อ.เวียงแก่น กว่า 1,000 ถัง ทำให้รัฐเสียหายหลายร้อยล้านบาท
พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามพยุงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ แต่กลุ่มบุคคลเหล่านี้กลับลักลอบนำไปขายนอกประเทศอีก ดังนั้น ทาง ปนม.จึงจะเฝ้าระวัง และป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด เพราะขบวนการนี้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างมาก
ข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันมีเอกชน 7 ราย ที่ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านทางแม่น้ำโขงด้าน จ.เชียงราย ซึ่ง พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ มอบหมายให้หน่วยงานพื้นที่ดำเนินการ 4 แนวทาง คือ 1.จัดชุดตรวจสอบเป็นกองกำลังผสมตำรวจ ศุลกากร สรรพสามิต และทหารตรงจุดส่งออก 2.จัดชุดออกตรวจตราในพื้นที่ 3.เฝ้าระวังใช้การผสมสารเคมีในน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่าจะมีการลักลอบนำกลับมาอีกหรือไม่ หรือใช้เพื่อตรวจสอบว่าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวส่งออกได้อย่างถูกต้องหรือไม่ และ 4.ตั้งข้อหาเพื่อการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดโดยไม่ลดหย่อน
ด้านด่านศุลกากรเชียงแสน ระบุว่า ตั้งแต่เดือน ต.ค.2556 ถึง พ.ย.2557 มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงผ่าน อ.เชียงแสน ไปทางเรือแม่น้ำโขงแล้ว 1,235,856 ลิตร มูลค่า 45,427,813 บาท และก๊าซหุงต้ม 264,941.22 กิโลกรัม มูลค่า 8,073,802.94 บาท โดยในเดือน พ.ย.นี้ มีการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปแล้ว 12,315 ลิตร มูลค่า 406,525 บาท ก๊าซหุงต้ม 2,310 กิโลกรัม มูลค่า 213,100 บาท