พิษณุโลก - ตำรวจออกหมายเรียก “ปูนิ่ม-สามี” เจ้าของผลิตภัณฑ์ OHO รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว พบผิดทั้ง พ.ร.บ.อาหาร พ.ร.บ.ยาหลายกระทง หลัง จนท.หลายหน่วยบุกยึดสินค้าวันเดียวได้กว่า 50 ล้าน ด้านสรรพากรรอซ้ำ พบเพิ่งจดทะเบียนแวต มิ.ย. 57 แต่ขายตรงตามเฟซมาแล้วกว่า 500 ล้าน สสจ.ย้ำชัดเจอสารต้องห้ามปนเปื้อน
วันนี้ (26 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีทหารกองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 สสจ.พิษณุโลก เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจค้นโกดังอาหารเสริม “โอ้โห บายปูนิ่ม มายแสลมมี่ รสมิกซ์ ฟรุ้ต” เลขที่918/54 หมู่ 7 ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ช่วงสายวันนี้ หลังพบฉลากและแผ่นพับโฆษณาไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายรายการ ท่ามกลางรถหรูที่จอดเรียงรายจำนวนมาก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขนผลิตภัณฑ์อาหารขึ้นรถบรรทุกทหาร มายังกองพลทหารราบที่ 4 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยมีบางกล่องสามารถยึดได้จากไปรษณีย์พิษณุโลกขณะกำลังเตรียมส่งให้ลูกค้า เพื่อเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งปรากฏว่าของกลางที่ตรวจยึดได้ทั้งหมดมีจำนวนมากจนล้นสถานที่แถลงข่าว
ต่อมา นายวิทูรัช ศรีนาม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผบ.พล.4 นายแพทย์ บุญเติม ตันสุรัตน์ สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก พ.ต.ต.วรณิน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ นางณิชชรีย์ ชินบุตร สรรพากรพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก พ.ต.อ.สามารถ จูเทศ พนักงานสอบสวนผู้ทรวงคุณวุฒิ สภ.เมืองพิษณุโลก และตัวแทนบริษัท โอ้โห สลิมพลัส จำกัด ร่วมกันแถลงข่าว โดยระบุว่า ได้ยึดผลิตภัณฑ์แสริมอาหารและเครื่องสำอางแหล่งใหญ่ที่สุดใน จ.พิษณุโลก ของบริษัท โอ้โห สลิมพลัส จำกัด รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท
พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผบ.พล.4 กล่าวว่า การจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหาร “โอ้โห” ถือว่าผิดกฎหมาย จะต้องให้ผู้ผลิตแจ้งทางเฟซบุ๊กไปยังตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่ราว 3-4 พันราย และลูกจ้างพนักงานบริษัท ให้ทราบว่าสินค้าที่มีเป็นสินค้าต้องห้ามเพื่อยุติการจำหน่าย ส่วนผู้บริโภคที่ได้ซื้อสินค้าไปแล้ว สามารถส่งคืนไปยังศูนย์ดำรงธรรม หรือ สสจ.พิษณุโลก
ด้าน พ.ต.ต.วรณิน ศรีล้ำ ผอ.ศูนย์บริหารคดีพิเศษ กล่าวว่า ดีเอสไอได้รับแจ้งจากผู้บริโภคว่า มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์วันละกว่า 3,000 กล่อง จึงเริ่มทำการตรวจสอบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่จนนำมาสู่การดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิด และยึดผลิตภัณฑ์ได้จำนวนมากในวันนี้ ส่วนด้านการดำเนินคดี ได้ให้ทาง สภ.เมือง เจ้าของพื้นที่ดำเนินการ ดีเอสไอจะดูในภาพรวมใหญ่ของคดีทั่วประเทศ และยังไม่ได้รับเป็นคดีพิเศษ
ขณะที่นางณิชชรีย์ ชินบุตร สรรพากรพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า บริษัท โอ้โห สลิมพลัส จำกัด ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับทางสรรพากรเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 นี้เอง โดยมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท แต่จากการตรวจสอบในเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าสินค้าทั้งหมดน่าจะมากกว่า 500 ล้านบาท เพราะได้วิเคราะห์จากยอดสินค้าที่ตรวจยึดในวันนี้ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านบาท ดังนั้นหากตรวจพบมีการแจ้งเสียภาษีไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ทางสรรพากรจะดำเนินการเก็บย้อนหลังต่อไป เพราะที่ผ่านมาแจ้งยอดขายต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
นายแพทย์ บุญเติม ตันสุรัตน์ สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ระบุว่า หลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะไม่ถูกต้องตามที่กฎหมาย ฉลากที่แสดงข้อมูลสถานที่ผลิตไม่ตรงกับที่ขออนุญาตไว้ ติดฉลากเพื่อลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องสถานที่ผลิต ถือว่าเป็นอาหารปลอม
“เลข อย.ที่ติดอยู่เป็นของผลิตภัณฑ์อื่น จึงเป็นอาหารที่มีฉลากเพื่อลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดว่าได้รับอนุญาตและมีเลข อย.แล้ว ถือว่าเป็นอาหารปลอม”
และเมื่อเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทั้ง 3 รายการข้างต้นส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ผลการตรวจวิเคราะห์พบสารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเจือปนอยู่ ซึ่งสายดังกล่าวส่งให้ผู้ได้รับสารความดันสูง หัวใจเต้นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ ส่งผลเสียต่อร่างกาย คือ โรคหัวใจกำเริบ จึงจัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์
พ.ต.อ.สามารถ จูเทศ พงส.สอบสวน สภ.เมือง พิษณุโลก กล่าวว่า คดีนี้มีผู้ต้องหาหลายคน ล่าสุดได้สอบสวนผู้กล่าวหาแล้ว คือ สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีหลักฐานจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 2 พิษณุโลก ชัดเจนว่าพบสารไซบูทรามีน ที่เป็นสารต้องห้ามปนอยู่ในผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องเรียกผู้ต้องหามารับข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีต่อไป
โดยล่าสุดวันนี้ ตนได้ออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้อง 2 คน คือ น.ส.ศิรินทรา เส็งสิน และนายวรกร ยิ้มอยู่ เจ้าของและผู้บริหารบริษัท ตามข้อหาผิดพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ฐานจำหน่ายอาหารปลอม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท ฐานจำหน่ายอาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท ฐานจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานโฆษณาคุณประโยชน์และคุณภาพหรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
นอกจากนี้ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 ฐานขายเครื่องสำอางแสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นคดีอาญา แต่จะจำหรือปรับขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ส่วนคดีฉ้อโกงหรือหลอกลวงนั้น ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ หากมีเจ้าทุกข์ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป