ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - โชว์แมน! ทหาร“ทภ.2”ร่อนแถลงโต้นักข่าวหญิงเหยื่อนายทหารกร่าง “พ.อ.” ผอ.กกร.ทภ.2 รับเป็นผู้สั่งการ อ้างไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรง แค่เชิญออกนอกห้องประชุม และ “บิ๊กโด่ง” ผบ.ทบ.ไม่ได้ตำหนิอะไร ด้านเหยื่อแจงขอความเป็นธรรม ชี้ทหารพูดความจริงครึ่งเดียว พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจผิด เอาดีใส่ตัว และขาดความรับผิดชอบ แต่มุ่งแก้ตัว ปกป้องตัวเอง และลูกน้องสารพัดข้ออ้าง
วันนี้ (16 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนายทหารฝ่ายเสนาธิการ กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 (ฝสธ.กกร.ทภ.2) แสดงพฤติกรรมป่าเถื่อนกระชากลากตัวผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวี และสำนักข่าวไทย อสมท ประจำจังหวัดนครราชสีมา ออกจากห้องประชุมพัชรินทร์ ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ต่อหน้า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และนายทหารระดับสูงจำนวนมาก รวมทั้ง พล.ท.ธวัช สุกปรั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ด้วย
โดยไม่ได้บอกกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งได้สร้างความตกให้แก่นักข่าวซึ่งเป็นผู้หญิงเป็นอย่างมาก และหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องถอนตัวเดินทางกลับทันที จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายทหารดังกล่าว และมีการแชร์ในเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นจำนวนมาก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด กองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์หนังสือแถลงการณ์ชี้แจงในกรณีดังกล่าว บนเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กในกลุ่มของประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 2 และกลุ่มสื่อมวลชนจังหวัดนครราชสีมา เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรียน ผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่าน ลงชื่อโดย พ.อ.รณกร ปานกุล ผู้อำนวยการกองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 (ผอ.กกร.ทภ.2) ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2557
โดยรายละเอียดเนื้อหาระบุว่า ตามที่มีข้อความปรากฏในหนังสือพิมพ์ “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ประจำวันที่ 15 พ.ย.57 โดยมีข้อความว่า “นายทหารกร่าง! กระชากลากนักข่าวหญิงออกจากห้องประชุม โชว์เถื่อนต่อหน้า บิ๊กโด่ง” ในการตรวจเยี่ยมทหารกองทัพภาคที่ 2 ณ ห้องศรีพัชรินทร์ สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี (เมื่อช่วงเช้า 15 พ.ย.57) นั้น
กระผมในฐานะ ผอ.กกร.ทภ.2 ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแลการปฏิบัติงานประชาสัมพันธ์ขอเรียนสื่อมวลชนทุกท่านให้ทราบในข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นดังนี้
ในช่วงก่อนเวลาที่ ผบ.ทบ. และคณะจะเดินทางมาถึง นายทหาร (ฝสธ.กกร.ทภ.2) ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจสื่อมวลชนที่มาทำข่าว และขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้กำหนดไว้ (โดยอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวได้บันทึกภาพก่อนเริ่มทำการประชุมประมาณ 5 นาที และให้ออกมาจากห้องประชุม) ซึ่งการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
หลังจากการประชุมเริ่มไปประมาณ 10 นาที มีผู้สื่อข่าวหญิงท่านหนึ่งได้เข้ามาในห้องประชุมรวมทั้งกระผมเองรู้สึกตกใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว กระผมจึงได้แจ้งให้นายทหาร (ฝสธ.กกร.ทภ.2) ซึ่งรับผิดชอบดูแลผู้สื่อข่าวที่มาทำข่าว โดยขอเชิญผู้สื่อข่าวหญิงดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากเป็นห่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการประชุมได้เริ่มขึ้นแล้ว นายทหารผู้ที่รับผิดชอบ และได้รับคำสั่งจึงได้เข้าไปเชิญตัวออกไปจากห้องประชุม (โดยตั้งใจใช้มือสะกิดแขนเพื่อแจ้งให้ทราบ แต่มือไปสัมผัสกับสายกระเป๋า กล้องถ่ายรูปที่คล้องอยู่กับลำตัว แต่ในที่สุดนักข่าวท่านนั้นก็ออกไปจากห้องประชุม โดยแสดงอาการไม่พอใจ และตำหนินายทหารดังกล่าวว่า “บอกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องกระชากด้วย” ซึ่งเมื่อกระผมเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงแจ้งให้ผู้สื่อข่าวหญิงทราบว่า การที่นายทหารได้เชิญตัวออกมานั้นไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรง และได้กล่าวคำขอโทษ แต่เนื่องจากกระผมจำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมต่อ จึงไม่ได้ชี้แจงรายละเอียด และทำความเข้าใจเพิ่มเติม)
ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระผมขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้
1.ทำไมผู้สื่อข่าวหญิงท่านนี้จึงเข้าไปบันทึกภาพเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มประชุมไปแล้ว (ทราบภายหลังว่า ผู้สื่อข่าวหญิงท่านนี้มาไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ จึงไม่ได้รับคำชี้แจงจากนายทหารที่รับผิดชอบ)
2.กรณีที่นายทหารใช้ความรุนแรง “กระชากลากนักข่าวหญิงดังกล่าว” ต่อหน้านายทหารที่เข้าร่วมประชุมกว่าร้อยนายที่อยู่ในห้องประชุมฯ สังเกตได้ว่า ไม่ได้มีสิ่งบอกเหตุ หรือมีเสียงแสดงความตกใจของผู้เข้าร่วมประชุมต่อการปฏิบัติของนายทหารดังกล่าว (ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการกระชากลากใดๆ ทั้งสิ้น การประชุมได้ดำเนินการต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากมีการใช้ความรุนแรงกระชากลากผู้สื่อข่าวหญิงเกินกว่าเหตุ ประธานในที่ประชุมฯ จะต้องยุติการประชุม และตำหนิการกระทำดังกล่าวอย่างแน่นอน)
ดังนั้น ข้อความที่ปรากฏในหนังสือโดยใช้ข้อความว่า ...
“นายทหารกร่าง” ขอเรียนให้ทราบว่าไม่เป็นความจริง นายทหาร (ฝสธ.กกร.ทภ.2) ดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และไม่มีเจตนาอื่นใดที่จะใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด
“การกระชากลากนักข่าวหญิง” ขอเรียนให้ทราบว่า ไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงถึงขั้นการกระชากลากผู้สื่อข่าวหญิงแต่อย่างใด มีเฉพาะการใช้มือไปสัมผัสกับสายกระเป๋าสะพายกล้องที่คล้องตัวอยู่ โดยความพยายามที่จะแจ้งให้นักข่าวหญิงทราบ และออกจากสถานที่ประชุมฯ
กระผมในฐานะผู้รับผิดชอบ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานต่อเรื่องดังกล่าว ขอความกรุณาจากสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องโดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม เพื่อมิให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของ ทบ. และ ทภ.2 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หน่วยงานที่รับผิดชอบต่อสื่อ ได้มีการปฏิบัติต่อสื่อมวลชนทุกท่านที่มาทำข่าวด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้ความเคารพในการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย และไม่เคยใช้กิริยามารยาทซึ่งแสดงออกถึงความรุนแรงในการใช้พฤติกรรม หรือวาจาไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอ ทหารทุกคนใน ทภ.2 สำนึกในหน้าที่ และความรับผิดชอบที่จะดูแลพี่น้องประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชนทุกท่านให้มีความสุขตลอดไป
จึงขอชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจต่อสื่อมวลชนทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ ลงชื่อ พ.อ.รณกร ปานกุล ผอ.กกร.ทภ.2 ลงวันที่ 16/พ.ย./57
เหยื่อขอความเป็นธรรมพร้อมแจงข้อเท็จจริง
ทางด้านผู้สื่อข่าวโมเดิร์นไนน์ทีวี และสำนักข่าวไทย อสมท ประจำจังหวัดนครราชสีมา เหยื่อนายทหารกร่างดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนได้อ่านหนังสือชี้แจงต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่ทางกองกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 2 ที่ได้โพสต์ชี้แจงสื่อมวลชนบนเครือข่ายออนไลน์แล้ว ซึ่งมีความรู้สึกว่าตนในฐานะผู้ถูกกระทำไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย จึงต้องขอความเป็นธรรมจากผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้ ถ้อยคำชี้แจงในหนังสือดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือไม่ยอมพูดความจริงทั้งหมด รวมทั้งพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจผิด เพื่อเอาดีใส่ตัว และขาดความรับผิดชอบ แต่กลับมุ่งที่จะแก้ตัวเพื่อปกป้องตัวเองและลูกน้องในสารพัดข้ออ้าง
ตนในฐานะผู้ถูกกระทำ และได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นรายประเด็นเท่าที่จำเป็นตามที่ถูกกล่าวหาพาดพิงในหนังสือดังกล่าว ในฐานะสื่อมวลชนและประชาชนคนหนึ่งที่ไม่อยากผิดหวัง และรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้
1.กรณีหลังเกิดเหตุการณ์ พ.อ.รณกร ปานกุล ผอ.กกร.ทภ.2 ในฐานะผู้รับผิดชอบและลงนามในหนังสือชี้แจ้งครั้งนี้อ้างว่า ได้เข้ามาแจ้งชี้แจงแก่ตนด้วยตัวเองว่า ที่นายทหารได้เชิญตัวมานั้นไม่ได้มีเจตนนาใช้ความรุนแรง และได้กล่าวคำขอโทษนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะหลังเกิดเหตุการณ์ พ.อ.รณกร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยกับตนแต่อย่างใด มีเพียง พ.ต.อนุชา ดาวังปา ผู้ก่อเหตุที่พยายามเดินตามมาพูดแก้ตัวว่า ไม่ได้ตั้งใจ และขอโทษ ส่วนนายทหารคนอื่นๆ ต่างพากันหนีหน้าเอาตัวรอดหมด
และจากหนังสือชี้แจงนี้เป็นที่ชัดเจนว่า ผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการให้ พ.ต.อนุชา ดาวังปา กระทำการอันน่าละอายครั้งนี้ ก็คือ พ.อ.รณกร ปานกุล ผอ.กกร.ทภ.2
2.กรณีตนเข้าไปบันทึกภาพภายในห้องประชุมคนเดียว เพราะมาไม่ทันเวลา (ให้ผู้สื่อข่าวไปถ่ายภาพในห้องประชุม) ที่กำหนดไว้ และทำให้ไม่ได้รับคำชี้แจงจากนายทหารที่รับผิดชอบนั้น เหตุที่ตนไปช้าเพราะระหว่างเดินทางไป ทภ.2 ได้มีเหตุด่วนคือ เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ อาคารขนาด 2 ชั้น 3 คูหา หลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เสียหายทั้งหมด จึงตัดสินใจแวะถ่ายภาพทำข่าวเพลิงไหม้ก่อน ทำให้ไปไม่ทันเวลาเล็กน้อย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องนี้ไม่ควรนำมาเป็นประเด็นสำคัญเพื่อหวังโยนบาปให้แก่ผู้ถูกระทำ เพราะตนเป็นสื่อมวลชน และทำข่าวกับกองทัพภาคภาคที่ 2 มานานร่วม 20 ปี ผ่านมาหลายยุคสมัย จึงทราบและเข้าใจดีในข้อปฏิบัติต่างๆ ตามที่นายทหารได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนดังกล่าว และเป็นเรื่องปกติของการทำข่าวทุกครั้งที่ผ่านมา หากใครมาไม่ทัน (เพราะทั้งวันไม่ได้มีข่าวเดียว) ก็จะขออนุญาตทหารที่ดูแลอยู่ในขณะนั้นเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศในห้องประชุมในเวลาอันจำกัดเพื่อเอาไว้ประกอบข่าวแล้วออกมารอสัมภาษณ์หลังการประชุมเสร็จสิ้น แต่หากไม่ได้รับการอนุญาตด้วยเหตุผลต่างๆ นานาก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องปักหลักนั่งรอสัมภาษณ์อยู่ด้านนอกอย่างเดียว ซึ่งปฏิบัติเป็นมาเช่นนี้ทุกครั้ง
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ตนได้ขออนุญาตนายทหารที่ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าประตูห้องประชุมโดยตรงแล้ว ซึ่งได้รับการอนุญาตด้วยดีพร้อมเปิดประตู และออกคำเชิญให้เข้าไปถ่ายภาพในห้องประชุมด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นการเข้าไปโดยพลการแต่อย่างใด
3.กรณีชี้แจงว่า นายทหารได้เชิญออกจากห้องประชุม ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกระชากลากนักข่าวหญิงออกมาแต่อย่างใดนั้น ข้อเท็จจริงคือ จู่ๆ นายทหารคนดังกล่าวได้เข้ามาดึงกระเป๋าแล้วกระชาก ลากทั้งกระเป๋า และคน คือ ตนออกจากห้องประชุมโดยไม่ได้สะกิด หรือกระซิบบอกเชิญอะไรแม้แต่คำเดียว อย่างนี้ไม่เรียกว่าทั้งกระชากและลาก แล้วจะเรียกว่าอะไร และช่างเป็นวิธีการเชิญที่ไร้ซึ่งมารยาท และป่าเถื่อน ยากที่ปุถุชนทั่วไปจะรับได้จริงๆ
ส่วนที่อ้างว่าไม่ใช่พฤติกรรมรุนแรง เพราะการประชุมยังดำเนินการไปตามปกติ ประธานในที่ประชุม (พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.) ไม่ได้สั่งยุติการประชุม และตำหนิการกระทำดังกล่าว นั้น เรื่องนี้ตนในฐานะผู้ถูกกระทำไม่อาจทราบได้ เพราะเป็นเรื่องวิจารณญาณของแต่ละคน และในที่ประชุมนอกจาก ผบ.ทบ.แล้ว ล้วนเป็นนายทหารระดับสูงที่รับผิดชอบบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ด้วยกันทั้งนั้น และสำคัญตนไม่เคยคิดที่จะใช้พฤติกรรมอันไร้มารยาทตอบโต้ความป่าเถื่อนไม่ให้เกียรติบุคคลอื่นดังกล่าวจนทำให้การประชุมล่มอย่างแน่นอน
“ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงาน หรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความปลอดภัยในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกคน และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกกับผู้ใด เพราะมันนำมาซึ่งความเดือดร้อนเสียหายและความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดของผู้ถูกกระทำ อีกทั้งยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 2 เองด้วย” ผู้สื่อข่าวเหยื่อนายทหารกร่าง กล่าวในตอนท้าย