เชียงใหม่ - ผอ.ป.ป.ช.อุตรดิตถ์การันตี ชุดทำงานเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชนฯ ลุยตรวจสนามฟุตซอลฉาว เป็นของจริง ไม่มีแอบอ้าง หลังเจอปล่อยข่าวเป็นกลุ่มคนแอบอ้างรีดทรัพย์โรงเรียน-อปท.
วันนี้ (13 พ.ย.) นายธีรพงษ์ ศรีเดช, นายไขศิลป์ รัตนเดชา, นายลำยงค์ ปัญญาทา และนายสมเดช ขืมจันทร์ เครือข่ายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาคประชาชน เข้าพบว่าที่ ร.ต.สมบัติ พูลสงวน ผู้อำนวยการ ป.ป.จ.อุตรดิตถ์
หลังจากมีคนเรียกร้องให้ ป.ป.จ.แจ้งความดำเนินคดีต่อเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชนอุตรดิตถ์ ที่ร่วมกันตรวจสอบโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลกลางแจ้งโรงเรียนประถมศึกษา สังกัด สพป.อุตรดิตถ์ เขต 1 จำนวน 40 โรงเรียน 40 สนาม งบประมาณ 39 ล้านบาทเศษ, โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด สพม.เขต 39 จำนวน 18 สนาม งบประมาณราว 36 ล้านบาท และของ อปท. อ.เมืองอุตรดิตถ์ 9 แห่ง รวม 19 สนาม งบประมาณ 47 ล้านบาท รวมทั้งหมด 77 สนาม เป็นงบประมาณราว 122 ล้านบาท
ว่าที่ ร.ต.สมบัติกล่าวว่า ในงานแถลงข่าวผลการดำเนินการของ ป.ป.ช.ครบรอบ 8 ปี มีชื่อมวลชน คนหนึ่งสอบถามว่านายธีรพงษ์ เป็นเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชน จ.อุตรดิตถ์ หรือไม่ หากแอบอ้างก็ขอให้แจ้งความดำเนินคดี ยอมรับว่าตอนนั้นยังไม่มีข้อมูล มีรายชื่อเป็นเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชนหรือไม่
แต่เมื่อสอบถามไปยัง ป.ป.ช.ส่วนกลางแล้ว ก็พบว่านายธีรพงษ์มีชื่อเป็นเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชนจริง และจากการติดตามข่าวทางสื่อมวลชนการตรวจสอบการก่อสร้างสนามฟุตซอลกลางแจ้งใน จ.อุตรดิตถ์ ของเครือข่ายฯ ก็ทำงานมีประสิทธิภาพดี ซึ่งวันหนึ่ง ป.ป.ช.ก็ต้องประสานข้อมูลเรื่องสนามฟุตซอลกลางแจ้งจากเครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชน เพื่อนำมาดำเนินการต่ออยู่แล้ว
ด้านนายธีรพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีอดีตรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อุตรดิตถ์ พยายามให้หัวคะแนนและคนสนิทปล่อยข่าวว่า เครือข่าย ป.ป.ช.ภาคประชาชนที่ยื่นขอ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารทางราชการปี 2540 เข้าไปข่มขู่และรีดไถเงินทุกแห่งที่เข้าไปตรวจสอบและขอข้อมูล ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก ทั้งที่เรื่องไม่มีมูลความจริงเลย การเข้าตรวจสอบก็เพราะต้องการหยุดยั้ง และให้กระบวนการตรวจสอบการทุจริตงบประมาณแผ่นดินเข้ามาดำเนินการนำคนผิดไปลงโทษเท่านั้น
ล่าสุดทราบว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็เข้าติดตามเส้นทางของเงินที่นำมาก่อสร้างสนามฟุตซอลกลางแจ้งแล้วเช่นกัน แต่ขณะนี้มี 2 อดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส.ที่มีส่วนพัวพันกลับพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของคณะที่เข้าไปตรวจสอบ โดยการกล่าวหาว่า เป็นกลุ่มคนที่แอบอ้างบ้าง ข่มขู่บ้าง และรีดไถเงินบ้าง ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลย
