ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- อธิบดีกรมการปกครองซัดกลับไม่ใช่ญาติ! หลังนายทุนดูดทรายรุกป่าสงวนฯ อ้างเป็นหลานชาย สั่ง นอภ.เฉลิมพระเกียรติ โคราช เชือดตาม กม.เต็มที่ เผยคดีคืบหน้าอยู่ชั้นพนักงานอัยการ พร้อมเตรียมเข้าข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ เพิ่ม ระบุทางอำเภอเสนอความเห็นสั่งปิดโรงงานแล้ว เหตุสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน
เมื่อเวลา 14.30 น. วันนี้ (8 ต.ค.) ที่ร้านอาหารแซ่บ ด้านหน้าประตูทางเข้าค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายวิจิตร กิจวิรัตน์ นายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา ได้เปิดแถลงข่าวกรณีปะทะคารมเดือดหวิดวางมวย กับ นายสุขทวีโชค บุญราช อายุ 38 ปี กลุ่มนายทุนบ่อทราย บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติท่าช้าง และป่าหนองกระทิง ที่อ้างว่าเป็นหลานชาย นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง ในระหว่างที่คณะของ พ.อ.สมหมาย บุษบา ที่ปรึกษากฎหมายกองทัพภาคที่ 2 เข้าตรวจสอบบ่อดูดทรายของบริษัท ทรายสยามอุตสาหกรรม จำกัด 91 หมู่ 1 บ้านส้ม ต.ช้างทอง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) กระทั่งทหารได้ควบคุมตัวนายสุขทวีโชคขึ้นรถไปสอบสวนในค่ายสุรนารี ตามที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนนั้น
นายวิจิตรกล่าวว่า ตนได้รับการประสานทางโทรศัพท์จาก นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง ยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับบุคคลที่กล่าวอ้างคือ นายสุขทวีโชค บุญราช และไม่ได้เป็นเครือญาติหรือรู้จักกันแต่อย่างใด เพียงแต่นามสกุลอาจคล้องกันเท่านั้น และเท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้นบุคคลนี้เป็นคนพื้นเพจังหวัดสงขลา แต่ที่อยู่ในทะเบียนบ้านระบุอยู่ที่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เรื่องนี้อธิบดีกรมการปกครองบอกด้วยว่ารู้สึกไม่สบายใจที่มีบุคคลมากล่าวอ้าง เพื่อให้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายต่างๆ
พร้อมกันนี้ ทางอธิบดีกรมการปกครองได้เน้นย้ำให้ตนดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่และเป็นไปตามกฎหมายอย่างจริงจัง โดยไม่ต้องไปมีข้อกังวลอื่นใด ซึ่งยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่รู้จักบุคคลคนนี้เลย วันนี้จึงให้ตนแถลงข่าวเพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วกัน
นายวิจิตรกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินคดีกับเจ้าของบ่อทรายดังกล่าวนั้น นายวิจิตร กล่าวว่า ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ ซึ่งหลังจากที่คณะของ พ.อ.สมหมายได้ลงตรวจสอบพื้นที่ได้มีการสรุปงานและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อ โดยในเรื่องการตรวจสอบเอกสารที่ดิน ส.ค.1 ของนายมงคล ผู้ต้องหาที่นำมากล่าวอ้างว่ามีที่มาอย่างไรนั้น ได้มอบหมายให้ผู้แทนเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาอำเภอจักราช เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของ ส.ค.1 และความถูกต้องของตำแหน่งพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอจักราชจะชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดในวันที่ 9 ต.ค.นี้
ส่วนการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ให้ทางที่ดิน และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ไปดำเนินการออกใหม่ให้ครอบคลุมทั้งแปลงในคราวเดียว โดยไม่ให้ออกเป็นจุดๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการนำมาอ้างสิทธิโดยใช้ช่องว่าง ส่วนของอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาได้ทำการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาแล้ว เป็นจำนวนเงิน 60,000 บาท ถือว่าคดีส่วนนี้ได้สิ้นสุดไป
สำหรับประเด็นที่ผู้ต้องหานำเอกสารของ อบต.ยื่นขยายพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมนั้น ผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมาแจ้งว่า เอกสารนั้นเป็นการแจ้งให้อุตสาหกรรมจังหวัดทราบเท่านั้น โดยยังไม่ได้อนุญาตให้มีการขยายพื้นที่โรงงานอีกกว่า 70 ไร่แต่อย่างใด
ทางด้านอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตนในฐานะนายอำเภอ ให้ความเห็นไปแล้วว่าควรเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เนื่องจากว่าการประกอบกิจการโรงงานได้สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมาเป็นระยะเวลานาน และมีผลกระทบด้านชีวิตความเป็นอยู่ การเข้าไปใช้พื้นที่ต่างๆ ซึ่งทางอุตสาหกรรมจังหวัดฯ แจ้งว่าได้ส่งเรื่องไปที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อให้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ได้มอบหมายให้ตนประสานกับพนักงานอัยการในเรื่องการให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประกอบเข้าไปในการพิจารณาของพนักงานอัยการในเรื่องต่างๆ นี้ คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์จะมีความชัดเจนทั้งหมด นายวิจิตรกล่าวในตอนท้าย