เพชรบุรี - ตำรวจ ปส. พร้อมกำลังทหาร เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ภาค 7 และตำรวจเมืองเพชรบุรี สนธิกำลังจู่โจมตรวจค้นจับกุม 3 ผู้ต้องเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือตระกูล “แซ่เติน” พร้อมยึดทรัพย์รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
วันนี้ (31 ส.ค.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี นายมณเฑียร ทองนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ ผบก.ปส.4 พ.ต.อ.ยุทธนา พฤกษารุ่งเรือง ผกก.บก.ปส.4 นายสิรินทร์ยา สิทธิชัย ผอ.ป.ป.ส.ภาค 7 พร้อมกำลังตำรวจ กก.1 บก.ปส.4 และตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารนำโดย พล.ต.สมพงษ์ ไทรงาม ผบ.มทบ.15 และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 7 ได้ร่วมกันแถลงข่าวหลังจากเมื่อเวลาประมาณ 05.00 น.ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 104/2 หมู่ 5 ต.ท่ายาง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นบ้านกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ของทางภาคเหนือ
โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 3 ราย ขณะพักอยู่ภายในบ้าน ประกอบด้วย 1.นายธิติพงษ์ โหรชัยยะ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ถนนบ้านชะอำ 3/2 ต.ชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 2.น.ส.สาวิตรี ศรีสวัสดิ์ อยู่บ้านเลขที่ 114/2 หมู่ 10 ต.ท่ายาง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี และ 3.น.ส.แอน ช่วงชู อยู่บ้านเลขที่ 48/2 หมู่ 2 ต.สระพัง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี
จากการตรวจค้นภายในบ้านเจ้าหน้าที่พบของกลางหลายรายการ ที่มีทั้งอาวุธปืน เงินสด สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร และทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการที่คาดว่าน่าจะได้มาจากการขายยาเสพติด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมดไว้ตรวจสอบ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายใจ๋เจียว แซ่เติน ได้พร้อมยาบ้าในพื้นที่ จ.เชียงราย หลังจากนั้นถูกควบคุมตัวผู้ต้องหามาไว้ที่เรือนจำจังหวัดราชบุรี โดยขณะที่นายใจ๋เจียว ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำจังหวัดเพชรบุรี ได้ใช้โทรศัพท์ติดต่อกับ นายสุทิวัส แซ่เติน พี่ชายของตนซึ่งเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของทางภาคเหนือ และสร้างเครือข่ายบาบ้าจากในเรือนจำ โดยมี นายสมพร แซ่ล้อ เป็นผู้ส่งมอบยาเสพติดให้แก่ นายจันทร์ดี แซ่เดิน ในพื้นที่รังสิต จ.ปทุมธานี และส่งยาบ้ามาในพื้นที่ จ.เพชรบุรี
โดยมีผู้ต้องหาทั้ง 3 รายคือ น.ส.แอน ช่วงชู เป็นผู้รับยาเสพติดทั้งหมด และนายธิติพงษ์ โหรชัยยะ เป็นผู้กระจายยาบ้าส่งให้แก่พ่อค้ายาบ้ารายย่อยอีกทอดในพื้นที่ จ.เพชรบุรี และมี น.ส.สาวิตรี ศรีสวัสดิ์ เป็นคนดำเนินการในเรื่องของการรวบรวมเงินค่ายาเสพติดโอนส่งไปยังนายสุทิวัส พ่อค้ายาบ้ารายใหญ่ในภาคเหนือ
อีกทั้งการปฏิบัติการครั้งนี้มาจากการสืบสวนขยายผลตามนโยบายของ คสช.และเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ข้อมูลเครือข่ายผู้กระทำความผิด และผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมในลักษณะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระดับประเทศ และจากคำรับสารภาพของผู้ต้องหากลุ่มนี้ทำให้ทราบว่า เคยมีการลำเลียงยาเสพติดจากผู้ว่าจ้างลักษณะนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ที่จับกุมได้ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 โดยส่งแต่ละครั้งเป็นการรับจ้างจากกลุ่มผู้ว่าจ้างกลุ่มเดิม และใช้ทีมลำเลียงยาเสพติดชุดเดิม รวมทั้งใช้เส้นทางลำเลียงเหมือนกันทุกครั้ง
โดยครั้งที่ 1 ประมาณเดือน พ.ย.-ธ.ค.2556 ลำเลียงยาบ้าประมาณ 1.5 ล้านเม็ด ครั้งที่ 2 ประมาณเดือน ม.ค.2557 ลำเลียงยาบ้าประมาณ 2 ล้านเม็ด และครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 20-21 ก.พ.2557 ลำเลียงยาบ้าประมาณ 2.2 ล้านเม็ด
จากการสืบสวนขยายผลยังพบด้วยว่า เครือข่ายกลุ่มผู้สั่งการ และกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดกลุ่มนี้มีต้นทางมาจากแนวชายแดนไทยในพื้นที่ จ.เชียงราย และจากแนวชายแดนไทยทางด้าน สปป.ลาว เข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้าน อ.ท่าลี่ จ.เลย เข้าสู่พื้นที่ตอนในของไทย และลำเลียงนำยาเสพติดมาพักในพื้นที่ปริมณฑล ก่อนที่จะมีการนำยาเข้าไปจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยกระจ่ายไปในกลุ่มผู้ค้าในชุมชนเมือง เช่น ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี นนทบุรี ชัยนาท ปทุมธานี และนครสวรรค์ เป็นต้น
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบร่องรอยการโอนเงินทางบัญชีจากกลุ่มผู้ค้า และกระจายยาเสพติดไปยังผู้สั่งการ ผู้ลำเลียงยาเสพติดตระกูล “แซ่เติน” ใน จ.เพชรบุรีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้นอกจากเจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้ง 3 รายแล้ว ยังได้ทำการยึดทรัพย์สินหลายรายการด้วยกัน มีทั้งอพาร์ตเมนต์ในพื้นที่ ต.โพไร่หวาน อ.เมือง จ.เพชรบุรี ประมาณ 14 ห้อง รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซุซุ ดีแมคซ์ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฆภ 7860 จำนวน 1 คัน บ้านพัก 1 หลัง รถยนต์เก๋งยี่ห้อ Ford Ranger สีขาว หมายเลขทะเบียน กฉ 3332 เพชรบุรี รถยนต์เก๋งป้ายแดงยี่ห้อเชฟโรเลต โคโลราโด สีดำ ป้ายแดง ห้องเช่า อาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก สมุดบัญชีเงินฝาก ทองรูปพรรณ รวมทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท
โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย สมคบกันและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป