บุรีรัมย์ - เกษตร จ.บุรีรัมย์ ร่วมเกษตร อ.สตึก และ อบต.ท่าม่วง รณรงค์กำจัดหอยเชอรี่อย่างถูกวิธีและปลอดภัยแทนการใช้สารเคมี โดยระดม จนท. ผู้นำชุมชน และชาวบ้านช่วยกันลงเก็บหอยในนาข้าวมาทำน้ำหมักชีวภาพประกอบอาหารรับประทาน และให้ช้างเหยียบทำลายหลังพบระบาดในนาข้าวกว่า 15,000 ไร่ เสียหายสิ้นเชิงกว่า 500 ไร่
วันนี้ (25 ก.ค.) สำนักงานเกษตรจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับเกษตรอำเภอสตึก สำนักงานพัฒนาที่ดิน และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าม่วง ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันกำจัดหอยเชอรี่ในนาข้าวอย่างถูกวิธีและปลอดภัยแทนการใช้สารเคมี ที่บริเวณบ้านโพนเงิน ม.10 ต.ท่าม่วง อ.สตึก
โดยกิจกรรมการรณรงค์ครั้งนี้ นายวัชรินทร์ รุ่งโรจน์ นายอำเภอสตึก พร้อมด้วยนายบุญช่วย บำรุงธรรม หัวหน้ากลุ่มงานอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัด และนางจุรีรัตน์ วิเศษวงษา เกษตรอำเภอสตึก ได้นำเจ้าหน้าที่ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านกว่า 100 คน ร่วมกันลงเก็บหอยเชอรี่และไข่ที่ระบาดในนาข้าว นำไปทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยใส่นาข้าว
พร้อมทั้งนำไปประกอบอาหาร เมนูอาหารพื้นบ้านอีสาน เช่น ยำหอยเชอรี่ หอยลวกจิ้ม และส้มตำใส่หอยเชอรี่ นอกจากนั้นยังได้นำช้างพลายหนุ่มเสก ที่เคยแสดงภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศมาแล้วหลายเรื่อง มาโชว์เหยียบหอยเชอรี่ในงานรณรงค์กำจัดหอยเชอรี่ในครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าในเขตพื้นที่อำเภอสตึกมีพื้นที่นาอยู่กว่า 300,000 ไร่ ในจำนวนนี้มีหอยเชอรี่ระบาดในนาข้าวของเกษตรกรมากกว่า 15,000 ไร่ มีต้นข้าวถูกหอยกัดกินเสียหายจนต้องหว่านหรือปักดำทดแทนต้นข้าวที่เสียหายไปแล้วกว่า 500 ไร่
นายวัชรินทร์ รุ่งโรจน์ นายอำเภอสตึก กล่าวว่า การรณรงค์ป้องกันกำจัดหอยเชอรี่ในครั้งนี้เพื่อปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้าน เกษตรกรได้มีส่วนร่วมในการกำจัดหอยเชอรี่ที่กำลังระบาดในนาข้าวอย่างถูกวิธีและปลอดภัย แทนการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค
ซึ่งภายในงานได้มีทั้งการบรรยายให้ความรู้เรื่องการป้องกันกำจัดหอยเชอรี่ สาธิตการทำน้ำหมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ และสาธิตนำหอยเชอรี่มาประกอบอาหารรับประทานด้วยเชื่อว่าหากชาวบ้านให้ความร่วมมือในการกำจัดอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถยับยั้งหรือลดปริมาณการระบาดลงได้
นางจุรีรัตน์ วิเศษวงษา เกษตรอำเภอสตึก กล่าวว่า หอยเชอรี่เป็นศัตรูพืชที่เป็นอันตรายต่อต้นข้าวเป็นอย่างมาก ชอบกัดกินต้นข้าวอ่อนๆ ระยะกล้าจนถึงแตกกอในช่วงเช้าและเย็น โดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำสูงเหนือระดับโคนต้น 0.5-1 นิ้ว และกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อจนหมดต้น ซึ่งมักจะพบระบาดในนาข้าวที่มีน้ำขัง นอกจากจะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วแล้วยังสามารถทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี โดยจะหมกตัวมีชีวิตอยู่ในพื้นนานานตลอดฤดูแล้ง และยังลอยตัวไปตามน้ำได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องร่วมกันป้องกันและกำจัดอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง เพราะหากปล่อยไว้จะสร้างความเสียหายแก่ผลผลิต ทั้งยังสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรต้องมีต้นทุนสูงขึ้นอีกด้วย
