ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 รวบนายหน้าค้าที่ดินสาวสันกำแพง รวมกลุ่มมิจฉาชีพตุ๋นเงิน 5 แสนบาทจากอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยดัง หลังหลอกร่วมลงทุนซื้อขายที่ดิน เหยื่อหลงเบิกเงินให้แล้วขับรถเชิดหนีไปต่อหน้าต่อตา
วันนี้ (8 ส.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ต.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้กำกับการกองกำกับการสืบสวน 1 ร่วมกันแถลงการจับกุม น.ส.ฐิตาพา พรหมกร หรือน้องนาย อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/1 หมู่ 2 ต.ต้นเปา อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.282/2557 ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นคนอื่น
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ประจวบเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากมีอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของ จ.เชียงใหม่ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพนายหน้าค้าที่ดินหลอกลวงเงินไป 5 แสนบาท เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2557 จึงสอบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหารายนี้คือ น.ส.ฐิตาพา มีอาชีพเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และรับจ้างทำโคมอยู่ใน อ.สันกำแพง โดยติดตามจับกุมได้ระหว่างขับรถยนต์หรูจาก จ.เชียงราย มา จ.เชียงใหม่ ที่ด่านโป่งดิน อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า รู้จักกับผู้ที่ร่วมกลุ่มอีก 5 คน เป็นผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 1 คน ทั้งหมดเป็นคนต่างจังหวัด โดยมักจะเลือกเหยื่อเป็นอดีตข้าราชการที่มีที่ดินต้องการจะขาย หรือมีฐานะแล้วต้องการจะลงทุนซื้อที่ดิน กระทั่งพบผู้เสียหายรายนี้ที่ต้องการจะขายที่ดิน 10 ไร่ใน อ.สันทราย จึงทำทีเป็นว่ามีผู้สนใจต้องการซื้อแ ละได้ขับรถไปรับพวกเดินทางพากันไปดูที่ดิน ระหว่างทางจะชักชวนให้ร่วมลงทุนซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่ง
โดยอ้างว่ามีผู้ต้องการจะซื้อต่อ สามารถทำกำไรคนละ 2 ล้านบาท แต่ที่ดินติดจำนองอยู่ 5 ล้านบาทต้องนำเงินไปไถ่ถอนก่อน ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อแล้วเบิกเงินจากตู้กดเงินธนาคารออกมาทันที 5 แสนบาท จากนั้นกลุ่มมิจฉาชีพได้หลอกให้ผู้เสียหายลงจากรถยนต์ไปถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชน แล้วขับรถหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
พล.ต.ต.ประจวบกล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติย้อนหลัง พบว่าผู้ต้องหารายนี้ยังมีหมายจับอยู่อีกหนึ่งหมาย ในฐานความผิดข้อหายักยอกทรัพย์ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับสารภาพว่าเคยก่อเหตุในลักษณะหลอกลวงเรื่องที่ดินมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง แต่อ้างว่าเป็นเพียงผู้ถูกจ้างวานเท่านั้น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสืบสวนติดตามจับกุมมิจฉาชีพที่เหลือมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ซึ่งเท่าที่ทราบเบื้องต้นมีผู้เสียหายแล้วอย่างน้อย 2 รายที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ สูญเงินกว่า 1 ล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าน่าจะมีผู้เสียหายมากกว่านี้ และมีมูลค่าความเสียหายรวมไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ดังนั้นหากมีผู้เสียหายรายใดคิดว่าเคยตกเป็นเหยื่อ สามารถเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มเติมได้