พิจิตร - ชาวบ้าน “เขาเจ็ดลูก” ขึ้นโรงพักแจ้งความถูกนักวิชาการ-กลุ่มต้านเหมืองทอง อ้างชื่อเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองทองพิจิตร ร้อง “บิ๊กตู่-คสช.” บอกเห็นชื่อโผล่บัญชีหางว่าวในเฟซบุ๊กแล้วกลัวความผิด ยันอยู่มาเป็น 10 ปีไม่เคยได้รับผลกระทบ
วันนี้ (16 ก.ค.) นายสนิท วิมลพันธ์ อายุ 73 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และเพื่อนบ้านรวม 9 คน ได้เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.ทับคล้อ และ พ.ต.ท.พิทยา มณีวรรณ พงส.ผู้ชำนาญการ สภ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ว่า ถูกอ้างชื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ., หัวหน้า คสช. ว่าได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำจังหวัดพิจิตร
ชาวบ้านกลุ่มนี้ระบุว่า พวกเขามีบ้านอยู่ใกล้กับเหมืองแร่ทองคำอัครารีซอร์สเซส (อัครา ไมนิ่ง) ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 9 ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ ที่ดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตมีความสุขอยู่ตามปกติ ไม่เคยได้รับผลกระทบจากการดำเนินกิจการของเหมืองแร่ทองคำแห่งนี้
แต่มีนักวิชาการ คือ ศาสตราจารย์ ระพี สาคริก ประธานที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนที่ผู้ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำจังหวัดพิจิตร และพวกของ น.ส.สื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ที่ต่อต้านการทำเหมือง มาเขียนรายชื่อทั้งหมด 179 รายชื่อ รวมถึงมีชื่อพวกตนด้วยไปร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าได้รับผลกระทบต่างๆ มากมายทั้งๆ ที่พวกของตนเองไม่ได้รู้เรื่อง
ซึ่งหลังจากมีหนังสือฉบับดังกล่าวส่งไปถึงประธาน คสช.เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 57 ที่ผ่านมา ทำให้มีทหารลงมาในพื้นที่ และเรียกไปให้ปากคำ ทำให้พวกตนต้องยุ่งยาก และหวาดกลัวว่าจะมีความผิดที่ไปหลอกลวงหัวหน้าคณะ คสช. จึงได้มาแจ้งความเพื่อให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พ.ต.ท.พิทยากล่าวว่า หลักฐานที่ชาวบ้านนำมามีรายชื่อเป็นเหมือนบัญชีหางว่าว 179 รายชื่อ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งจากประสบการณ์เห็นบัญชีรายชื่อก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นการเขียนโดยคนแค่ 3-4 คน ไม่ใช่การปลอมลายเซ็น แต่เป็นการคัดลายชื่อเอาไปร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะต้องสอบถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องว่ามีหนังสือร้องเรียนฉบับดังกล่าวจริงหรือเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดอย่างไรหรือไม่
ขณะที่ พ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.ทับคล้อ ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวว่า ชาวบ้านบอกว่าเห็นเอกสารชุดนี้ปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Sitang Pilailar จึงได้พิมพ์ออกมาแล้วนำมาแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ซึ่งจะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้ง
ส่วนการดำเนินคดีในขั้นต่อไปนั้นก็คงต้องดูว่าใครเป็นผู้เสียหายแล้วจะมีการมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอย่างไร ก็จะทำอย่างเป็นกลาง และตรงไปตรงมาอย่างแน่นอน