ศูนย์ข่าวภูมิภาค - "เจ้าอาวาส-แม่ชีเชอรี่" กลับเข้าวัดถ้ำขวัญเมืองกลางดึก พร้อมสั่งตั้งด่านตรวจบริเวณทางเข้าวัดเข้มเพื่อสกรีนคนเข้าวัด-ห้ามผู้สื่อข่าวเข้า ด้านศิษย์เก่าและชาวบ้านสวดยับ วัดเป็นที่พึ่งประชาชน เป็นของสาธารณะ สร้างด้วยเงินศรัทธาของประชาชน ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ขณะที่สังคมออนไลน์เริ่มออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลของเจ้าอาวาส
วันนี้ (10 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของแม่ชีเชอรี่ หรือ น.ส.สุปริญญา ฮุนนางกุล อายุ 42 ปี และพระครูสุธรรมวีราจารย์ (พระอาจารย์สมใจ) เจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร หลังจากได้เดินทางกลับเข้าวัดเมื่อคืนวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมาแล้วว่า ขณะนี้ทางวัดยังคงมีการตั้งด่านจุดบริการอำนวยความสะดวกด้านจราจรที่บริเวณทางเข้าวัดเป้นวันที่สอง
พร้อมกับเขียนป้ายเขียนข้อความว่า "ห้ามผ่าน" และ "ห้ามจอด" เพื่อสกรีนคนที่จะเข้าไปในวัด และจะคอยบริการเปิดทางเข้าออกให้เฉพาะกลุ่มลูกศิษย์ของวัดที่จะเข้ามาร่วมทำบุญเท่านั้น หากเป็นคนภายนอกหรือชาวบ้านในพื้นที่ก็จะมีการสอบถามถึงจุดประสงค์ที่เข้าไปในวัดก่อน โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวทางวัดจะไม่ยอมให้เข้าไปอย่างเด็ดขาด
จากกรณีดังกล่าวทำให้ศิษย์เก่าของวัดถ้ำขวัญเมืองหลายคน รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ อ.สวี จ.ชุมพร ได้ออกมาระบุถึงเรื่องนี้ในทำนองเดียวกันว่า วัดถ้ำขวัญเมือง เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเรื่องที่ห้ามไม่ให้ชาวบ้านเข้าออก และไม่เคยมีการตั้งด่านตรวจเช่นนี้มา ซึ่งลักษณะดังกล่าวทำเหมือนกับว่าวัดนี้เป็นของคนใดคนหนึ่ง จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ดูเหมือนว่า ภายในวัดน่าจะมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
"วัดเป็นที่พึ่งของประชาชน เป็นของสาธารณะ สร้างด้วยเงินศรัทธาของประชาชน การที่ออกมาตั้งด่านตรวจห้ามประชาชน ห้ามใครต่อใครเข้าวัด ทำอย่างนี้ได้อย่างไร วัดไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง วัดไม่ใช่บริษัท ทำอย่างนี้มันถูกต้องหรือไม่ ถ้าเจ้าอาวาส และแม่ชีเชอรี่บริสุทธิ์ จริง ไม่มีความผิดจริง ก็ไม่ควรทำอย่างนี้" ศิษย์เก่าวัดถ้ำขวัญเมืองสมัยพระครูภาวนาภิรมย์ (สรวง ปริสุทฺโธ) หรือหลวงพ่อสรวง เป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง คนหนึ่งกล่าว
ขณะเดียวกันได้มีประชาชนโพสต์ความเห็นลงใน http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9570000077264 ระบุถึงกรณีแม่ชีเชอรี่ เช่น ความคิดเห็นที่ 2 ระบุว่า "มันต้องมีอะไรพิลึกๆ ในกอไผ่ 100% ที่อื่นๆ ก็มีเพียบ แต่ชาวบ้านเหมือนเหยื่อที่หลอกให้หลงงมงาย"
ขณะที่ความเห็นที่ 3 ใช้ชื่อว่า ศิษย์ของวัด ระบุว่า "เจ้าอาวาสเดิมเป็นพระบวชเพราะยากจนมาก พ่อแม่อยู่ที่ประจวบ ฐานะไม่ดี แต่หลังจากที่หลวงพ่อละสังขารในปี 38 พระสมใจ ในขณะนั้นขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส มีการแต่งตั้งศิษย์ที่หลวงพ่อให้ความไว้วางไว้ดูแลบัญชีต่างๆ ของวัด เพราะมีเงินมากเนื่องจากหลวงพ่อตั้งปณิฐธานจะสร้างโรงพยาบาลสงฆ์อาพาธ ทราบมีหลายสิบล้านบาท
ต่อมาพระสมใจ ได้นำเงินไปปลูกบ้านให้แม่ที่ประจวบ ก็ถูกสอบโดยกรรมการวัด ทำให้พระสมใจไม่พอใจมาก จึงมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ เอาเฉพาะคนของตัวเขามาดูแล หลังจากนั้นไม่นาน นางเชอร๊่ ได้เข้ามาอยู่ในวัดและยึดอำนาจทุกไว้ที่ตน ข่มเหงพระ รังแกชี และญาติโยมที่มีจิตศรัทธา ในขณะที่พระสมใจ ก็รับกิจนิมนต์ไปจังหวัดกาญจนบุรี เพราะมีข่าวว่ามีเศรษฐีนีของจังหวัดดังกล่าวเลื่อมใสนับถือ ไม่เคยอยู่วัด กิจการทั้งหลายนางเชอรี่เป็นคนดูแล ในช่วงตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน มีการก่อสร้างตลอด ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของหลวงพ่อ ที่ต้องการให้วัดเป็นที่ปฏิบัติและอบรมบ่มเพาะคนดีให้สังคม แต่ในห้วงที่พระสมใจเป็นเจ้าอาวาส มีแต่การก่อสร้างและการใช้จ่ายเงินอย่างมาก เพราะจะได้สามารถนำเงินมาใช้อย่างสบาย
ส่วนบริษัทรับหมาคือคนใกล้ชิดเจ้าอาวาสทั้งสิ้น ลูกศิษย์เก่าๆของหลวงพ่อถูกห้ามไม่เข้าวัด เพราะกลัวความลับความอับจนในปัญญาของพระเจ้าอาวาสจะล่วงรู้สู่สาธารณะ เก็บเทปหลวงพ่อหมด เพราะเจ้าอาวาสเอาธรรมของหลวงพ่อมาเป็นธรรมของตน เทปบันทึกคำสอนของหลวงพ่อถูกห้ามนำไปเผยแพร่ เพราะกลัวคนรู้ว่าเลียนธรรมหลวงพ่อ
ส่วนนางเชอรี่ ก็กร่างทำตัวเป็นเจ้าของวัด ออกกฎระเบียบแปลกๆ กันไม่ให้ลูกศิษย์เก่าหลวงพ่อเข้าวัด พระองค์ใดที่รู้ความลับในวัดถูกกดดันให้ออกจากวัดไป เหลือแต่บรรดาลิ่วล้อของพระสมใจ เช่น พระแปลก ซึ่งก็เป็นพระที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแต่อย่างใด เป็นพระที่ประจบสอพลอเจ้าอาวาส และถูกลงโทษมากที่สุดในสมัยที่หลวงพ่อยังอยู่
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าอาวาสกับนางเชอรี่ เทวดาทั้ง 4 บนพระธาตุและท่าวเวชกุมภัณธ์ย่อมเป็นสักขีพยานที่ดี นำทั้งเจ้าอาวาสและนางเชอรี่ขี้นไปกล่าวแสดงความบริสุทธ์กับท่าน ไม่ถึง 3 วันรับรองแน่ว่ารู้ข้อเท็จจริง เพราะท่านรักษาวัดอยู่ บัดนี้ถึงเวลาที่พุทธบริษัทที่เป็นเจ้าของวัดในจังหวัดชุมพรต้องทำความจริงให้กระจ่าง เพื่อรักษาวัดที่หลวงพ่ออุตสาห์สร้างไว้เป็นแบบอย่างที่ดี"