xs
xsm
sm
md
lg

กมธ.วุฒิลุยตรวจบ้าน “ธาริต” ฮุบป่ารอบ 2 จี้รับผิดชอบ ด้านป่าไม้ดิ้นแจ้งจับแพะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - กมธ.วุฒิสภาลุยตรวจบ้านพักหรู และโฮมสเตย์ “ธาริต” ฉาวรุกป่ารอบ 2 หลังป่าไม้ชี้บ้าน 2 หลังอยู่ในเขตป่าสงวนฯ โซนซีให้เช่าไม่ได้เตรียมรื้อทิ้ง พร้อมดิ้นแจ้งดำเนินคดีกับบ้านอีก 1 หลังที่โผล่ใกล้กัน ด้าน “ส.ว.ประสาร” จี้ “ธาริต” รับผิดชอบสร้างรั้วล้อมเอาที่ป่าสงวนฯ ไว้ในเขตรั้วเดียวกับบ้านตัวเองแสดงความเป็นเจ้าของ และกรรมสิทธิ์ครอบครอง เจตนาฮุบป่าชัดๆ ขณะป่าไม้เร่งหาแพะสังเวย “ไอ้ริด กินป่า”

วันนี้ (25 เม.ย.) คณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบการทุจริตใน กมธ.ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล และคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา นำโดย นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เดินทางลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้ากรณีการครอบครองที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และภรรยา ซึ่งมีการสร้างบ้านพักหรู และโฮมสเตย์ ฟิออร์เร่ ปาร์ค เลขที่ 444 หมู่ 11 บ้านมอกระหาด ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่รอบที่สอง

โดยมี นายสมหวัง เรืองนิวัติศัย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น นายวีรวัฒน์ ประสมสุข ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า นายพัทยา แวววุฒินนท์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่า นม.1 (ปากช่อง) ให้การต้อนรับ และได้นำคณะของนายประสารลงพื้นที่ตรวจสอบพิกัด GPS โดยละเอียดบริเวณรอบบ้านพัก และโฮมสเตย์ของนายธาริตที่ล้อมรั้วลวดหนามทั้งพื้นที่บ้านพัก โฮมสเตย์ และพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเสียดอ้าฯ อยู่ในรั้วเดียวกัน

พร้อมติดป้ายประกาศระบุว่า “ที่ส่วนบุคคลห้ามเข้า” และล้อมรั้วลวดหนามปิดประตูทางเข้าอย่างมิดชิด ซึ่งครั้งนี้นายสมหวังได้นำคณะ กมธ.และสื่อมวลชนมุดรั้วลวดหนามเข้าไปตรวจสอบพื้นที่บ้าน 2 หลังที่อยู่บนเขาในเขตป่าสงวนด้วย พบว่ามีการตัดทำลายต้นไม้สักจำนวนหลายต้น และมีร่องรอยการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพัก 2 หลัง เนื่องจากพบกองไม้ และประตูเก่าทิ้งไว้ รวมถึงกองหิน และทรายที่ใช้ในงานก่อสร้างด้วย ส่วนเส้นทางที่เชื่อมต่อจากบ้านพักของนายธาริตมายังบ้าน 2 หลังบนเขานั้น ได้มีการทำแนวรั้วเสาเตี้ยๆ สีขาวเชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน

สำหรับพิกัด GPS ที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบมีทั้งสิ้น 6 จุด ซึ่งอยู่นอกรั้วบ้านของนายธาริต ประกอบด้วย จุดที่ 1 ด้านทิศตะวันออก พิกัด 47P 0758347 UTM 1618144 จุดที่ 2 ด้านทิศเหนือ พิกัด 47P 0758360 UTM 1618208 จุดที่ 3 จุดด้านหลังทิศเหนือฝั่งหลังที่ดินที่มีโฉนด ห่างไปประมาณ 100 เมตร จากด้านหน้าพิกัด 47P 0758273 UTM 1618249 จุดที่ 4 ทิศเหนือ (ฝั่งขวา) พิกัด 47P 0758268 UTM 1618268 จุดที่ 5 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พิกัด 47P 0758157 UTM 1618285 และจุดที่ 6 ทิศตะวันตก พิกัด 47P0758135 UTM 1618218

นายประสาร มฤคพิทักษ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่า การเดินทางมาครั้งนี้ของคณะกรรมาธิการฯ เป็นการมาตรวจสอบครั้งที่ 2 ซึ่งมาตรวจสอบที่ดินในส่วนที่เป็นโฉนดตามตัวหนังสือ และส่วนที่เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในบริเวณรั้วเดียวกันที่มีป่าสงวนฯ อยู่ด้วยประมาณ 4 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นที่ดินที่มีโฉนด แต่มีข้อสงสัยว่าบริเวณที่มีโฉนดของ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

วิธีที่จะตรวจสอบว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คือขอให้ป่าไม้มาจับพิกัด โดยใช้ GPS ตรวจตามจุดรอบบริเวณบ้านของนางวรรษมล จากนั้นจะนำไปตรวจสอบโดยละเอียดกับทางที่ดินอีกครั้งหนึ่งว่าที่ดินที่มีโฉนดมีที่ไปที่มาอย่างไรจนมาถึงมือ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ มีความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร หากเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องรื้อกันใหม่ พลิกกันใหม่ และต้องไล่จี้กับคนที่เกี่ยวข้องว่าทำไมจึงเกิดเหตุเช่นนี้ได้ แต่ถ้าชอบด้วยกฎหมาย ถูกต้องหมด ก็แล้วไป

“แต่ที่แน่นอนเห็นได้ชัดเจนว่าที่ดิน 4 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา ซึ่งอยู่ในบริเวณรั้วเดียวกันนั้นเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โซน C โดยมีบ้าน 2 หลังตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว และถนนที่เข้าบ้านของนางวรรษมลทอดยาวไปถึงบ้าน 2 หลังดังกล่าวด้วย และการที่ล้อมรั้วเดียวกันไว้ทั้งที่ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ที่มีโฉนดแสดงว่าต้องการที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ หรือความเป็นกรรมสิทธิ์ในบริเวณพื้นที่นี้ทั้งหมด ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นปัญหา เวลานี้ทราบว่าทางป่าไม้ได้แจ้งไปแล้วว่าบ้าน 2 หลังที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้นต้องรื้อออกไป มิฉะนั้นจะต้องดำเนินการตามกฎหมายซึ่งเป็นความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ที่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเอง” นายประสารกล่าว

นายประสารกล่าวต่อว่า จากนี้ไปคงจะต้องเรียกกรมที่ดินมาตรวจสอบต่อว่าที่ดินบริเวณนี้ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ต้องตอบคำถามคณะกรรมาธิการฯ ของเราให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการปล่อยให้การทำไม่ถูกต้องเดินหน้าไปโดยไม่มีใครดูแล หลังจากนี้ต้องเร่งนำพิกัดที่ตรวจสอบวันนี้ไปดูกับที่ป่าสงวนแห่งชาติจริงๆ แล้วเชิญอธิบดีกรมที่ดินมาชี้แจงทำอย่างไรกับที่ดินตรงนี้ และไปตกอยู่ในมือของเอกชนได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ คงต้องตรวจสอบอย่างเต็มที่ และเร่งรัดให้เร็วที่สุด แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงรอยต่อของวุฒิสภาก็ตามแต่คณะกรรมาธิการฯ ชุดนี้สามารถเดินหน้าต่อได้ เพราะ กมธ.มีครบ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ ส.ว.เลือกตั้งจะยังไม่ได้เข้ามาประกอบส่วนใน กมธ.ก็ตาม

นายประสารยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานายธาริตไม่สามารถตอบคำถามได้ในกรณีที่ดินของนางวันทนา พิพัฒน์ไชยศิริ ที่บอกว่าเป็นเพื่อนภรรยา ซึ่งเป็นที่ดินอยู่ติดด้านหลังบ้านพักหลังใหญ่ (บ้านสิริอุบล) และกรณีบ้าน 2 หลังสร้างอยู่บนเขาที่อยู่ในรั้วเดียวกันของบ้านนายธาริตและภรรยา ซึ่งทางกรมป่าไม้ได้ตรวจสอบแล้วยืนยันว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติถึงได้ทำหนังสือรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ กมธ. ซึ่งนายธาริตไม่เคยพูดจุดนี้ แต่เลือกพูดเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินที่บอกว่ามีโฉนดเท่านั้น

“ฉะนั้นจึงขอตรวจสอบที่ดินที่บอกว่ามีโฉนดว่ามันถูกต้องหรือไม่อย่างไรเพื่อจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรต่อไป แต่อย่างน้อยต้องรับผิดชอบแล้วในกรณีที่ไปล้อมรั้วเอาที่ป่าสงวนแห่งชาติมาไว้ในรั้วเดียวกัน แสดงว่าคุณต้องการแสดงความเป็นเจ้าของเป็นกรรมสิทธิ์บริเวณนี้ทั้งหมดใช่หรือไม่ ซึ่งมันครอบคลุมพื้นที่ป่าสงวนฯ โซนซี ที่ห้ามมีสิ่งปลูกสร้าง ห้ามทำถนน ห้ามทำมาหากิน ซึ่งกรณีนี้จะเป็นกรณีศึกษาของเรื่องอื่นๆ ต่อไป” นายประสารกล่าว

ด้าน นายสมหวัง เรืองนิวัติศัย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) กล่าวว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบพิสูจน์ว่าจุดใดที่มีโฉนดที่ดิน จุดใดที่เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาเสียดอ้า ป่าเขานกยูง และป่าเขาอ่างหิน ซึ่งในเขตป่าสงวนฯ มีบ้านพักอยู่ 3 หลัง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 2 หลังอยู่ในพื้นที่ที่มีการขออนุญาตใช้ โดย นางวันทนา พิพัฒน์ไชยศิริ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติโซนซี ไม่สามารถอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้ จึงใช้อำนาจตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ขอให้เจ้าของผู้ครอบครองนั้นรื้อถอนออกไป ส่วนบ้านอีก 1 หลังที่อยู่ใกล้เคียงได้ทำการแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2556 ทางสำนักจัดการป่าไม้ฯ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ครอบครอง รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแจ้งให้ผู้ครอบครองบ้าน 2 หลังได้นำเอกสารมาแสดงความเป็นเจ้าของต่อทางสำนักจัดการป่าไม้ฯ ภายใน 30 วัน หากไม่มาแสดงตัวทางสำนักจัดการป่าไม้ฯ ก็จะทำหนังสือแจ้งให้ทำการรื้อถอนภายใน 30 วัน และแจ้งความดำเนินคดีต่อไป

“ขณะนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน 2 หลังดังกล่าวได้มาแสดงเอกสารหลักฐานก่อน และตอนนี้ถือว่ายังไม่มีความผิดแต่อย่างใด” นายสมหวังกล่าว

นายสมหวังกล่าวอีกว่า ส่วนบ้านอีก 1 หลัง ซึ่งเป็นบ้านหลังที่ 3 ที่พบบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและตั้งอยู่ติดกับบ้าน 2 หลังข้างต้นนั้น เจ้าหน้าที่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว คาดว่า 2-3 เดือนจะทำการรื้อถอนต่อไป และจากนี้ไปทางสำนักจัดการป่าไม้ฯ จะเสนอกรมป่าไม้เพื่อของบประมาณในการทำรั้วรอบเขตป่าสงวนแห่งชาติจุดนี้ด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีการทำรั้วเข้าไปในเขตป่าสงวนฯ ด้วย ซึ่งการทำแนวเขตจะต้องเสนอแผนเข้าไปที่กรมป่าไม้เพื่อขออนุมัติงบประมาณลงมาดำเนินการ

“แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการบุกรุกเพิ่มเติมเพราะเจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังอย่างเข้มงวดอยู่ รวมถึงการต่อเติมบ้านพักทั้ง 2 หลังคงต้องหยุดไปก่อน สำหรับการดำเนินการในกรณีดังกล่าวไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ถ้าผิดก็ต้องดำเนินคดี และทำการรื้อถอนออกไป” นายสมหวังกล่าว





บ้านพักบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหลังที่ 1

บ้านพักบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหลังที่ 2


บ้านพักบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหลังที่ 3

บ้านพักบุกรุกป่ามีถนนเชื่อมลงไปยังบ้านพักและโฮมสเตย์ของ ธาริต อย่างชัดเจน


กำลังโหลดความคิดเห็น