กาญจนบุรี - ศิษย์ และชาวบ้านพื้นที่รอบ “เจ้าสำนักป่าสุญญตาราม” สถานปฏิบัติธรรมชื่อดังของ “อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ” ที่สังขละบุรี เริ่มตื่นตัว และคึกคักหลังจากทราบข่าวการกลับมา และจะมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามของ “อดีตพระยันตระ” ด้าน “กำนันปรังเผล” เผยชาวบ้านในพื้นที่ 3-4 พันคน ยังรอวันกลับมาของอดีตพระยันตระ และยังเคารพศรัทธาในคำสอนเหมือนเดิม
จากกรณี นายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ เจ้าอาวาสวัดลิเจีย และเจ้าสำนักป่าสุญญตาราม สถานปฏิบัติธรรมชื่อดัง ตั้งอยู่หมู่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ที่หนีไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา นานกว่า 20 ปี ล่าสุด ได้สร้างความฮือฮาให้แก่คนไทยทั้งประเทศ เมื่อเดินทางกลับเมืองไทย และได้ไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านเกิด พร้อมสาวกประมาณ 10 คน โดยบอกว่าอยากกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามตามเดิม
โดยวันนี้ (25 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวง “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ยังคงลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศทั้งภายนอก และภายในสำนักป่าสุญญตาราม ตั้งติดกับถนนแสงชูโต สาย 323 กาญจนบุรี-สังขละบุรี ในพื้นที่หมู่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เป็นวันที่ 2 หลังจากวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมาได้เข้าไปสำรวจมาแล้วครั้งหนึ่ง และพบว่าบรรยากาศวันนี้ยังคงไม่แตกต่างจากเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา
แต่จากการสำรวจเริ่มมีความคึกคักมากขึ้นในกลุ่มหมู่ลูกศิษย์ หลังจากทราบข่าวการกลับมาของอดีตพระยันตระ และเรื่องที่อดีตพระยันตระ จะมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามแห่งนี้
ผู้สื่อข่าวได้พบกับร้านขายของชำร้านหนึ่งใกล้กับทางเข้าสำนักป่าสุญญตาราม ที่ก่อสร้างเป็นอาคารชั้นเดียว พบภายในมีรูปภาพของอดีตพระยันตระ ติดเอาไว้สำหรับกราบไหว้บูชาจำนวนหลายภาพ ซึ่งมีทั้งภาพที่เป็นอดีต และภาพในปัจจุบัน โดยภาพทั้งหมดติดตั้งเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
ภายในร้านค้าดังกล่าวพบเจ้าของยืนอยู่จึงได้เข้าไปสอบถามทราบชื่อคือ นายสุธี เจริญสุข อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38/5 หมู่ 4 ต.ปลังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และนางจารนัย เกตุโสภา อายุ 64 ปี ชาวมีนบุรี กทม.
จากการสอบถามบุคคลทั้ง 2 ครั้งแรกไม่ค่อยมั่นใจมากนัก เพราะเกรงว่าหากให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการกลับประเทศของ นายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีต “พระยันตระ อมโรภิกขุ” เจ้าอาวาสวัดลิเจีย และเจ้าสำนักป่าสุญญตาราม เพราะเกรงว่าสื่อมวลชนจะไม่นำเสนอข่าวตามความเป็นจริงเหมือนในอดีต และสุดท้ายบุคคลทั้งสองยอมแสดงความรู้สึกที่มีต่ออดีตพระยันตระออกมาด้วยความเต็มใจ
นายสุธี เจริญสุข กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น และต้องการเดินทางไปกราบเท้าท่านที่จังหวัดภูเก็ต แต่ยังไม่มีเวลา และช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ดูข่าวทางทีวีว่าท่านจะกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตาราม แต่ไม่ได้รู้ และได้ยินจากปากของท่าน สำหรับตนยังมีความศรัทธาในตัวท่านเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง ดูจากรูปภาพที่มีอยู่จะพบว่ามีทั้งรูปในอดีตและปัจจุบันที่ติดเอาไว้บูชากราบไหว้
“เราเชื่อในความบริสุทธิ์อันใสซื่อของท่านอย่างแน่นอน สามารถกราบเท้าท่านได้อย่างสนิทใจ และที่เป็นข่าวในอดีตเราไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะตนเป็นลูกศิษย์ของท่านมาตั้งแต่อายุ 14 ปี ปัจจุบันตนอายุ 57 ปีแล้ว คือบอกได้เลยว่าเป็นลูกศิษย์ท่านมาตั้งแต่สมัยท่านเป็นโยคีเลยก็ว่าได้ ทำไมตนจึงไม่เชื่อข่าวที่ออกไป เพราะตนเคยวิ่งเล่นอยู่กับท่านตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก”
ด้านนางจารนัย เกตุโสภา เปิดเผยว่า ตนมาช่วยงานที่สำนักป่าเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะช่วงจัดงานบวชภาคฤดูร้อนให้แก่เด็ก และที่สำคัญอีกวันหนึ่งก็คือ วันครบรอบวันเกิดของท่านคือวันที่ 14 ตุลาคมของทุกปี ถึงขณะนี้ทราบแล้วท่านกลับประเทศไทย และยังอยู่ที่บ้านเกิดของท่าน คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช และตนคอยฟังข่าวของท่านอยู่ตลอด โดยติดตามข่าววันต่อวัน เพราะจากการติดตามข่าวช่วงเช้าที่ผ่านมาพบว่า ท่านไม่ได้เป็นคนพูดเองว่าจะไปที่ไหน แต่เห็นนักข่าวทีวีพูดเอง และนำภาพนิ่งไปเสนอประกอบการบรรยาย และทราบว่าท่านไปเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้ท่านครั้งแรก เพราะมีท่านอายุมากแล้ว กลัวว่าจะไม่ได้ไปเยี่ยม
และขณะนี้ท่านก็ไม่มีคดีความอะไรอีกแล้วคดีได้หมดอายุความไปแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว จึงทำให้ท่านสามารถเดินทางกลับมาเมืองไทยได้อย่างเปิดเผย และขณะนี้ภายในสำนักป่าสุญญตาราม กำลังอยู่ในช่วงบวชภาคฤดูร้อนอยู่ มีเด็กๆ นักเรียนในพื้นที่มาบวชเณรประมาณ 100 กว่ารูป และสิ้นเดือนก็คงจะสึก
ทั้งนี้ หลังจากอดีตพระยันตระ กลับมาตนรู้สึกปลาบปลื้ม และดีใจเป็นอย่างมาก เพราะท่านจากไปประมาณ 19 ปีแล้ว และอยากไปกราบท่านเพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่เรานับถือและศรัทธา อดีตยอมรับว่าตนมีความทุกข์มาก ก็เพราะท่านที่ทำให้เรามีความสุขอยู่ทุกวันนี้ และพวกเราจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อเดินทางไปกราบท่านพร้อมกัน ส่วนศิษยานุศิษย์ของท่านทุกคนเชื่อว่า ทราบข่าวกันหมดทุกคนแล้ว
ทางด้านนายนิยม กลิ่นมณฑา อายุ 54 ปี กำนันตำบลปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตนเป็นกำนันอยู่ที่นี่มานานหลายปี รู้จักพระยันตระมาตั้งแต่สมัยที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดลิเจีย และได้ขออนุญาตใช้พื้นที่กรมอุทยานฯ เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสถานที่สำหรับให้เด็ก และเยาวชน รวมทั้งบุคคลทั่วไปเข้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อกลัดเกลาจิตใจของตนเองให้พ้นจากความทุกข์ที่มีอยู่ หลังจากกรมอุทยานฯ ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พระยันตระ จึงพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และใช้ชื่อว่า สำนักป่าสุญญตาราม มาจนถึงปัจจุบัน
สมัยนั้นมีประชาชนจากทั่วประเทศ รวมทั้งนักการเมือง และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับประเทศ และนักธุกิจระดับมหาเศรษฐีเดินทางหลั่งไหลเข้ามาปฏิบัติธรรมกันอย่างล้นหลาม ที่จอดรถแทบจะไม่เพียงพอ ขณะนั้นทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ตำบลปรังเผลทั้ง 4 หมู่บ้าน ประชาชนรวมกันเกือบ 4,000 คน มีรายได้จากการค้าขายพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งรายได้จากการขายอาหารวันละจำนวนมาก จากที่เคยฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ ก็ทำให้ทุกคนมีช่องทางทำมาหากินได้อย่างสะดวก มีรายได้ไปจุนเจือครอบครัวได้อย่างสบาย
จากความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทำให้ชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้าน ได้เข้าไปรับฟังคำสั่งสอนของพระยันตระ บ่อยครั้ง ทำให้ทุกคนรู้สึกเริ่มศรัทธาในคำสั่งสอนของท่าน บางคนที่มีความทุกข์ ก็สามารถสุขใจได้ทันที ซึ่งยากต่อการหาพระที่ปฏิบัติดีอย่างพระยันตระเป็นอย่างมาก
สำหรับข่าวฉาวของพระยันตระเกี่ยวกับเรื่องไปยุ่งเกี่ยวกับสีกาในสมัยนั้น ส่วนตัวแล้วยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะได้ดูจากทางข่าวหนังสือพิมพ์ หรือทีวีเท่านั้น เพราะเท่าที่ได้สัมผัสกับท่านมา ถึงแม้จะเป็นกำนัน ยังหาโอกาสเข้าใกล้ตัวท่านแทบไม่ได้ เพราะมีลูกศิษย์คอยโอบล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นอย่างนี้ทุกวัน และผู้ที่มาปฏิบัติธรรมก็อยู่เต็มสำนักป่าทุกวัน
ดังนั้น จึงไม่เชื่อว่าท่านจะไปยุ่งเกี่ยวกับสีกา และทุกคนในพื้นที่ตำบลปรังเผล ยังคงศรัทธาในคำสั่งสอนของพระยันตระอยู่ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้บวชเป็นพระก็ก็ตาม และทุกคนหวังว่า ท่านจะกลับมาอยู่ที่สำนักป่าสุญญตารามเช่นเดิม
“และต้องยอมรับว่า หลังจากที่พระยันตระ ต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศนานเกือบ 20 ปี ทำให้คนในพื้นที่ขาดรายได้ไปเลี้ยงดูครอบครัว ความลำบากก็กลับมาเช่นเดิม และหลังจากที่พระยันตระ กลับเข้ามาประเทศไทย ทุกคนต่างมีความรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และเชื่อว่ามีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากยังรอคอยท่านกลับมาเช่นกัน” นายนิยม กล่าว