พิจิตร - ตำรวจพิจิตรเพิ่งตื่น ตั้งด่านจับรถพ่วงสิบแปดล้อบรรทุกแกลบส่งโรงไฟฟ้าชีวมวล สร้างความเดือดร้อนมานานเพราะดัดแปลงต่อกรงเหล็กทั้งสูงทั้งกว้าง วิ่งเป็นเจ้าพ่อเต็มถนนเย้ยกฎหมาย ไม่ต่อทะเบียนนับร้อยคัน เหตุตรวจสภาพไม่ผ่าน ชาวบ้านตั้งประเด็น “เส้นใหญ่-จ่ายส่วย”
วันนี้ (9 เม.ย.) ร.ต.ท.เสน่ห์ สุวรรณคีรี รอง สวป.สภ.เมือง จ.พิจิตร ปฏิบัติหน้าที่จราจรวันนี้ นำกำลังตำรวจออกตั้งด่านคุมเข้มวินัยจราจรเพื่อรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน และข้อมูลจาก น.ส.สุกัญญา ศิริโภคาทรัพย์ ขนส่งจังหวัดพิจิตร ว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากรถพ่วงสิบแปดล้อที่มีเกือบ 100 คัน บรรทุกแกลบวิ่งมาจากโรงสีของ จ.กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย และพิจิตร นำแกลบไปขายยังบริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด โรงไฟฟ้าชีวมวลพิจิตร ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนตะพานหิน-บางมูลนาก ต.หอไกร อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร
โดยมีการดัดแปลงกระบะบรรทุกให้สูงขึ้นไปจากมาตรฐานมากกว่า 1 เมตร อีกทั้งขยายขอบกระบะบนออกด้านข้างทั้งซ้ายและขวาอีกข้างละ 50-70 เซนติเมตรเพื่อให้บรรทุกแกลบได้มากขึ้น ซึ่งแม้แกลบจะมีน้ำหนักเบา แต่การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายขนส่งอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งกีดขวางการจราจร อีกทั้งเมื่อขนส่งจังหวัดพิจิตรตั้งด่านตรวจสัปดาห์ละครั้งรถพวกนี้ก็หยุดวิ่ง นอกจากนี้ยังไม่เสียภาษีหรือต่อทะเบียนรถเนื่องจากตรวจสภาพไม่ผ่าน แต่ก็ยังวิ่งอยู่ได้ทุกวัน สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน ตำรวจจราจรพิจิตรจึงตั้งด่านจับกุม ซึ่งก็เหมือนกับแมวไล่จับหนู เพราะเมื่อพบรถบรรทุกแกลบวิ่งผ่านก็ทำได้แค่เขียนใบสั่ง
แหล่งข่าวจากสำนักงานขนส่งจังหวัดพิจิตรให้ข้อมูลว่า รถพ่วงสิบแปดล้อไม่ไปเสียค่าปรับที่โรงพัก และไม่นำรถมาต่อทะเบียน แต่วิ่งแบบเย้ยกฎหมาย คาดว่าน่าจะมีการจ่ายส่วยให้คนมีสีตำแหน่งระดับสูง เพราะรถวิ่งบรรทุกแกลบอยู่ในกลุ่ม 4 จังหวัดตำรวจภูธรภาค 6 คือ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร โดยไม่เกรงกลัว และทุกวันนี้ก็วิ่งกันเกะกะเต็มถนน ตำรวจชั้นผู้น้อยก็ทำได้เพียงเขียนใบสั่ง
สำหรับการตั้งด่านของตำรวจจราจรพิจิตรวันนี้ พบผู้กระทำผิดส่วนใหญ่คือ ผู้ขับขี่รถยนต์ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่พกสำเนาทะเบียนหรือสมุดคู่มือประจำรถ รวมถึงขาดต่อภาษีทะเบียนรถ จึงเขียนใบสั่งและเปรียบเทียบปรับ แต่ผู้กระทำผิดรายใหญ่ คือ รถพ่วงสิบแปดล้อ กลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนอยู่ต่อไป