ลำปาง - พายุลูกเห็บถล่ม 2 ตำบลของอ.เถินกลางดึก ทำอาคาร-บ้านเรือนพังถล่มราบหลายหลัง ต้นไม้ใหญ่หักโค่นทับบ้านซ้ำ
เช้าวันนี้(4 เม.ย.) ชาวบ้านในต.แม่มอก และต.เวียงมอก อ.เถิน จ.ลำปาง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางกว่า 150 กิโลเมตร และเป็นสองตำบลสุดท้ายของจังหวัด ก่อนที่จะเข้าสู่อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ต้องทยอยออกมาทำความสะอาดเก็บกวาดกิ่งไม้ ใบไม้ และวัสดุที่ตกเกลื่อนพื้นที่ หลังถูกแรงพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และพายุลูกเห็บถล่มเมื่อคืนที่ผ่านมา
บางบ้านก็ต้องเร่งซ่อมหลังคาบ้านที่ถูกแรงลมพัดปลิวหายไป เนื่องจากเกรงว่า หากพายุฝนมาอีกจะทำให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น ขณะที่บางส่วนยังรอความช่วยเหลือจากทางภาครัฐ ที่จะเข้ามาตรวจสอบและแจกจ่ายกระเบื้องมุงหลังคาให้
สำหรับพื้นที่ได้รับความเสียหายจากพายุลูกเห็บถล่มทั้ง 2 ตำบล คือ ต.แม่มอก 6 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านกลาง หมู่ 2 บ้านสะพานหิน หมู่ 4 บ้านมอกใต้ หมู่ 6 บ้านเด่นอุดม หมู่ 7 และบ้านห้วยเกาะกลาง หมู่ 8 รวมกว่า 100 หลังคาเรือน
โดยมีอาคารบ้านเรือนเสียหายอย่างหนักกว่า 60 หลัง รวมถึงสำนักงานสหกรณ์หมู่บ้านห้วยเกาะกลาง หมู่ 8 ต.แม่มอก หลังคาถูกแรงลมพัดเปิดออกเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีโรงงานแปรรูปไม้ห้วยเกาะกลาง ซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ พังถล่มลงมาทั้งหลัง 1 หลัง เสาสัญญาณโทรศัพท์หักโค่น
ส่วนที่บ้านมอกใต้ หมู่ 6 มีบ้าน 2 ชั้น ถูกต้นไม้ใหญ่อายุกว่า 20 ปี สูงกว่า 15 เมตรโค่นลงมาทับบ้านจนพังไปครึ่งหลัง
นางสง่า เทือกจันทร์คำ อายุ 42 ปี เจ้าของบ้านเลขที่ 94/1 หมู่ 6 ต.แม่มอก อ.เถิน ซึ่งถูกต้นราชพฤกษ์หักโค่นทับบ้าน กล่าวว่า ขณะพายุพัดมาได้มีชาวบ้านมาช่วยกันนำเชือกมาผูกโยงเพื่อประคองไม้ต้นนี้ไม่ให้ล้ม แต่ก็ต้านทานแรงลมไม่ไหว หักโค่นจากโคนต้นทับลงตัวบ้าน ซึ่งตรงกับห้องนอนพอดี
ซึ่งเช้าวันนี้ชาวบ้านก็ยังคงมาช่วยตัดต้นไม้ออกจากบ้าน พร้อมประสานขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
หลังจากนำต้นไม้ออก ชาวบ้านจะได้นิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีถอนตามความเชื่อที่ว่า หากต้นไม้ใหญ่ล้มทับบ้านจะเป็นลางร้าย และอาจจะเกิดเภทภัยขึ้นอีก
ด้านนางธวัลรัตน์ ไชยอินปัน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำปาง ได้รับรายงานว่าในต.แม่มอก และต.เวียงมอก มี 9 หมู่บ้านที่ไบ้านเรือนได้รับความเสียหาย นับเป็นอำเภอที่ 5 ของจ.ลำปาง ที่เกิดภัยทางธรรมชาติ
โดยก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในอ.เมือง อ.วังเหนือ อ.ห้างฉัตร และอ.แม่ทะ มีบ้านเรือนเสียหายไปแล้วกว่า 2,100 หลัง และถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นจะได้รับการประกาศในลำดับต่อไป