นครปฐม - มหาวิทยาลัยคริสเตียน เผยผลสำรวจความคิดเห็น ปชช.ที่มีต่อปัญหาการทุจริตในสังคมไทย พบร้อยละ 94.2 ระบุสถานการณ์ปัญหาการทุจริตในสังคมไทยยังมีความรุนแรงมากที่สุด แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรมให้แก่เยาวชน และเร่งปราบปรามอย่างจริงจัง
วันนี้ (12 มี.ค.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดี มหาวิทยาลัยคริสเตียน เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักวิจัย สำรวจความคิดเห็นของประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตในสังคมไทย จำนวน 1,270 คน
จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเป็นชายร้อยละ 57.1 และหญิงร้อยละ 42.9 ร้อยละ 32.2 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี และมีอายุ 31-40 ปี ร้อยละ 25.1 สถานภาพสมรสร้อยละ 56.6 และสถานภาพโสดร้อยละ 30.2 ร้อยละ 83.7 นับถือศาสนาพุทธมากที่สุด และร้อยละ 11.7 นับถือศาสนาคริสต์ ระดับการศึกษา ปวช.มากที่สุด ร้อยละ 25.1 และรองลงมาเป็นระดับ ปวส.ร้อยละ 23.9 ร้อยละ 34.5 เป็นเจ้าของกิจการ/ค้าขาย/มีธุรกิจส่วนตัว และร้อยละ 20.4 เป็นพนักงานบริษัท
กลุ่มตัวอย่างของประชาชนใน 4 จังหวัด ร้อยละ 94.2 เห็นว่า สถานการณ์ปัญหาการทุจริตในสังคมไทยยังมีความรุนแรงมากถึงมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 63.8 เห็นว่า ปัญหาการทุจริตในสังคมไทยเกิดขึ้นในหน่วยงานราชการมีการทุจริตมากที่สุด ร้อยละ 50.3 เห็นว่ามีการทุจริตในองค์กรการเมืองระดับประเทศ และร้อยละ 33.6 เห็นว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กรการเมืองระดับท้องถิ่น
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.6 เห็นว่าพฤติกรรมการทุจริต ได้แก่ การยักยอกเงิน โกงเงินหรือสิ่งของ เกิดขึ้นบ่อยที่สุด ร้อยละ 44.7 มีความเห็นว่า การเอื้อประโยชน์ต่อญาติและเพื่อนพ้อง และร้อยละ 40.9 เห็นว่า การให้เงิน ติดสินบนเป็นพฤติกรรมทุจริต
กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 67.4 รับทราบข่าวการทุจริตจากสื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ และร้อยละ 42.0 พบปัญหาการทุจริตในชุมชนที่อยู่อาศัย
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.1 เห็นว่าสาเหตุที่ทำให้ทุจริตเนื่องจากความโลภ ร้อยละ 52.0 เห็นว่า การทุจริตเกิดจากช่องว่างของกฎหมาย หรือระเบียบเปิดโอกาสให้ทุจริต ส่วนร้อยละ 33.9 เห็นว่าการทุจริตเกิดจากความไม่เข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมาย/กฎระเบียบ
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.5 เห็นว่าการเปิดเผยการกระทำทุจริตมีผลดี เนื่องจากผู้ทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย ร้อยละ 43.1 เห็นว่าการเปิดเผยการทุจริตจะช่วยให้สามารถหาทางแก้ปัญหาการทุจริตให้ดีขึ้น
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48.8 เห็นว่า การทุจริตทำให้เกิดภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศ รองลงมาร้อยละ 42.2 เห็นว่าผลกระทบของการทุจริตคือ สูญเสียเงิน/ทรัพย์สิน
กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 74.3 เห็นว่าการทุจริตในสังคมไทยสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 28.8 เห็นว่า นโยบายการแก้ปัญาการกระทำทุจริตในสังคมไทยของภาครัฐ มีความจริงจังพอใช้ ร้อยละ 22.7 เห็นว่าประสิทธิภาพการแก้ปัญหาการกระทำทุจริตในสังคมไทยของภาครัฐอยู่ในระดับพอใช้
ส่วนแนวทางแก้ปัญหา “เพื่อลดปัญหาการทุจริต” นั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 65.4 เห็นว่า ควรปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรมให้แก่เยาวชนอย่างต่อเนื่อง และร้อยละ 48.7 เห็นว่าควรยกย่อง/ให้รางวัลส่งเสริมผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีมีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันยังพบเห็นอยู่ในสังคมไทย การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่ายในสังคม โดยเน้นการส่งเสริมให้ผู้บริหารองค์กรใช้อำนาจ และหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนตามหลักธรรมาภิบาล ไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนผู้ปฏิบัติงานในองค์กรก็จะต้องปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาลด้วยเช่นกัน ในส่วนของเยาวชนควรได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกในการดำรงตนตามหลักธรรมาภิบาล
ดังนั้น คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และผู้กําหนดนโยบายการดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผู้ที่จะนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ จะต้องทำการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจัง ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่จะให้คนอื่นปฏิบัติ คอร์รัปชันจึงจะหมดไปจากสังคมไทยของเรา
วันนี้ (12 มี.ค.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทร์จิรา วงษ์ขมทอง อธิการบดี มหาวิทยาลัยคริสเตียน เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักวิจัย สำรวจความคิดเห็นของประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตในสังคมไทย จำนวน 1,270 คน
จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเป็นชายร้อยละ 57.1 และหญิงร้อยละ 42.9 ร้อยละ 32.2 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี และมีอายุ 31-40 ปี ร้อยละ 25.1 สถานภาพสมรสร้อยละ 56.6 และสถานภาพโสดร้อยละ 30.2 ร้อยละ 83.7 นับถือศาสนาพุทธมากที่สุด และร้อยละ 11.7 นับถือศาสนาคริสต์ ระดับการศึกษา ปวช.มากที่สุด ร้อยละ 25.1 และรองลงมาเป็นระดับ ปวส.ร้อยละ 23.9 ร้อยละ 34.5 เป็นเจ้าของกิจการ/ค้าขาย/มีธุรกิจส่วนตัว และร้อยละ 20.4 เป็นพนักงานบริษัท
กลุ่มตัวอย่างของประชาชนใน 4 จังหวัด ร้อยละ 94.2 เห็นว่า สถานการณ์ปัญหาการทุจริตในสังคมไทยยังมีความรุนแรงมากถึงมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 63.8 เห็นว่า ปัญหาการทุจริตในสังคมไทยเกิดขึ้นในหน่วยงานราชการมีการทุจริตมากที่สุด ร้อยละ 50.3 เห็นว่ามีการทุจริตในองค์กรการเมืองระดับประเทศ และร้อยละ 33.6 เห็นว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กรการเมืองระดับท้องถิ่น
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.6 เห็นว่าพฤติกรรมการทุจริต ได้แก่ การยักยอกเงิน โกงเงินหรือสิ่งของ เกิดขึ้นบ่อยที่สุด ร้อยละ 44.7 มีความเห็นว่า การเอื้อประโยชน์ต่อญาติและเพื่อนพ้อง และร้อยละ 40.9 เห็นว่า การให้เงิน ติดสินบนเป็นพฤติกรรมทุจริต
กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 67.4 รับทราบข่าวการทุจริตจากสื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ และร้อยละ 42.0 พบปัญหาการทุจริตในชุมชนที่อยู่อาศัย
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 57.1 เห็นว่าสาเหตุที่ทำให้ทุจริตเนื่องจากความโลภ ร้อยละ 52.0 เห็นว่า การทุจริตเกิดจากช่องว่างของกฎหมาย หรือระเบียบเปิดโอกาสให้ทุจริต ส่วนร้อยละ 33.9 เห็นว่าการทุจริตเกิดจากความไม่เข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมาย/กฎระเบียบ
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.5 เห็นว่าการเปิดเผยการกระทำทุจริตมีผลดี เนื่องจากผู้ทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย ร้อยละ 43.1 เห็นว่าการเปิดเผยการทุจริตจะช่วยให้สามารถหาทางแก้ปัญหาการทุจริตให้ดีขึ้น
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48.8 เห็นว่า การทุจริตทำให้เกิดภาพลักษณ์ด้านลบของประเทศ รองลงมาร้อยละ 42.2 เห็นว่าผลกระทบของการทุจริตคือ สูญเสียเงิน/ทรัพย์สิน
กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 74.3 เห็นว่าการทุจริตในสังคมไทยสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 28.8 เห็นว่า นโยบายการแก้ปัญาการกระทำทุจริตในสังคมไทยของภาครัฐ มีความจริงจังพอใช้ ร้อยละ 22.7 เห็นว่าประสิทธิภาพการแก้ปัญหาการกระทำทุจริตในสังคมไทยของภาครัฐอยู่ในระดับพอใช้
ส่วนแนวทางแก้ปัญหา “เพื่อลดปัญหาการทุจริต” นั้น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 65.4 เห็นว่า ควรปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรมให้แก่เยาวชนอย่างต่อเนื่อง และร้อยละ 48.7 เห็นว่าควรยกย่อง/ให้รางวัลส่งเสริมผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีมีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันยังพบเห็นอยู่ในสังคมไทย การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกฝ่ายในสังคม โดยเน้นการส่งเสริมให้ผู้บริหารองค์กรใช้อำนาจ และหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนตามหลักธรรมาภิบาล ไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเอง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ส่วนผู้ปฏิบัติงานในองค์กรก็จะต้องปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาลด้วยเช่นกัน ในส่วนของเยาวชนควรได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกในการดำรงตนตามหลักธรรมาภิบาล
ดังนั้น คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และผู้กําหนดนโยบายการดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผู้ที่จะนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ จะต้องทำการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างจริงจัง ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่จะให้คนอื่นปฏิบัติ คอร์รัปชันจึงจะหมดไปจากสังคมไทยของเรา