เจ้าอาวาสวัด จ.เชียงใหม่ แจ้งจับ อาจารย์หนู กันภัย ฐานยักยอก-ฉ้อโกงที่ดินวัดแม่ตะไคร้ ตามโครงการก่อสร้างอุทยานหลวงปู่ทวด มูลค่า 300 ล้านบาท ต่อตำรวจกองปราบปราม หลังร้องเรียนดีเอสไอแต่มีมติไม่รับเป็นคดีพิเศษ
วันนี้ (11 ก.พ.) ที่ กองปราบปราม พระใบฎีกาเทียนชัย สุภัทโท เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ต.ท่าเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับ นายสมพงษ์ กันภัย หรือ “อาจารย์หนู กันภัย” เจ้าสำนักสักยันต์ชื่อดัง ที่มีพฤติการฉ้อโกงที่ดินวัด และยักยอกเงินจากการเช่าบูชาวัตถุมงคล เพื่อสมทบทุนสร้างองค์หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ และสูงที่สุดในประเทศไทย รวมมูลค่าก่อสร้าง 300 ล้านบาท ตามโครงการก่อสร้างอุทยานหลวงปู่ทวดในพื้นที่วัดดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นโครงการเมื่อปี 2551
พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 อาตมาได้เข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้มีการตรวจสอบสำนักสักยันต์ของอาจารย์หนู และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายและรายได้จากการจำหน่ายวัตถุมงคลต่างๆ ที่อ้างว่าจะนำมาสมทบทุนสร้างองค์หลวงปู่ทวดตามโครงการดังกล่าว แต่ทางดีเอสไอได้มีหนังสือ ที่ ยธ 0811/2555 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2555 แจ้งตอบกลับมาว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ มีมติในการประชุมครั้งที่ 3/2556 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2556 ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ ว่าไม่เห็นควรรับเป็นคดีพิเศษ
พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าวต่อว่า จากนั้นทางดีเอสไอ แจ้งว่าได้ส่งเรื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร รับไปดำเนินการ จากนั้นเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากเรื่องเงียบหายไป จึงทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร กระทั่งวันที่ 30 มกราคม มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทราบเพียงว่าชื่อ พ.ต.ท.พงษ์สวัสดิ์ โทรศัพท์มาแจ้งว่า หลังจากตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ยังไม่พบว่ามีหนังสือจากดีเอสไอ ส่งมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่อย่างใด จึงเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามดังกล่าว
พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าวอีกว่า ได้ขอให้กองปราบปรามพิจารณาดำเนินการใน 3 เรื่อง คือ 1.การดำเนินคดีกับอาจารย์หนู กันภัย ในความผิดคดีอาญา 2.เรื่องการออกใบอนุโมทนาบัตรปลอม และ 3.เรื่องที่ดินที่ใช้จัดสร้างหลวงปู่ทวด ซึ่งมีชื่อของวัดดังกล่าวเป็นเจ้าของที่ แต่อาจารย์หนู กันภัย ได้ฟ้องร้องต่อศาล ทำให้อาตมาตกเป็นจำเลยในคดีดำ ที่ ม.328/2556 โดยศาลแขวงเชียงใหม่ นัดพร้อมคู่ความในวันที่ 24 มีนาคมนี้ เวลา 09.00 น.
พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับการเข้าแจ้งความในครั้งนี้ ได้นำสำเนาเอกสารใบอนุโมทนาบัตรที่มีการออกในนามวัด 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2.8 ล้านบาท โดยระบุว่า นายสมพงษ์ กันภัย ได้บริจาคเงินในยอดดังกล่าว ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2551 นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดการรับบริจาคเงินของนายสมพงษ์ ระหว่างปี 2551-2554 ที่วัดแม่ตะไคร้ ใบอนุโมทนาบัตรของนายสมพงษ์ ที่กรมสรรพากร จ.เชียงใหม่ ส่งให้กับทางวัดแม่ตะไคร้ ใบแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับนายสมพงษ์ ในข้อหาแจ้งความเท็จ รวม 4 ฉบับ หลังจากได้ให้ข้อมูลจนทำให้ทางวัดได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้พระใบฎีกาเทียนชัย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินจำนวน 2,350,000 บาท
พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนหลักฐานอื่นๆ ยังประกอบไปด้วย ใบอนุโมทนาบัตรที่นายสมพงษ์ ยื่นขอลดหย่อนภาษีต่อกรมสรรพากร กรณีที่อ้างว่าได้บริจาคเงิน 1 ล้านบาท พร้อมภาพถ่าย คำบรรยายใต้ภาพที่ระบุว่าบริจาคเงินซื้อที่ดิน 3 ไร่ 2 งาน 81 ตารางวา แต่ปรากฏว่ากลับมีการแบ่งที่ดินดังกล่าวแล้วใส่ชื่อ น.ส.อรวรรณ วิลาทอง ภรรยานายสมพงษ์ เป็นเจ้าของ รวม 2 งาน 81 ตารางวา โดยเหลือที่ดินส่งให้วัด เพียง 3 ไร่ นอกจากนี้สำหรับที่ดินแปลงที่ 2 ซึ่งติดลำเหมืองสาธารณะ มีเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 71 ตารางวา ก็ยังถูกตัดแบ่งออกไป 1 ไร่ 31 ตารางวา เหลือส่งให้กับทางวัดจริงเพียง 2 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา โดยการออกโฉนดฉบับนี้ นายสมพงษ์ ไม่ได้ส่งให้สรรพากรตรวจสอบ แต่กลับนำเอาโฉนดอีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่ด้านหลังวัดแม่ตะไคร้ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของอุทยานนรก มาแสดงแทน ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงและจากที่ได้ตรวจสอบก่อนหน้านี้พบว่าเงินบริจาคจำนวน 950,000 บาท ซึ่งนายสมพงษ์ ได้เขียนเช็คสั่งจ่ายให้ทางวัด เพื่อออกใบอนุโมทนาบัตรแสดงการรับเงิน แต่ภายหลังเมื่อนำเช็คดังกล่าวไปที่ธนาคารกลับไม่สามารถขึ้นเงินได้ พอทางวัดนำเช็คไปคืนนายสมพงษ์ ก็ไม่ยอมรับและไม่คืนใบอนุโมทนาบัตรของทางวัดด้วย
“ที่ผ่านมา ได้มีการรวบรวมรายชื่อประชาชนที่เข้าร้องเรียนกรณีที่เกิดขึ้นรวมถึงประชาชนที่เช่าบูชาเหรียญสักยันต์ 5 แถว และวัตถุมงคลต่างๆ ด้วยเข้าใจว่าจะร่วมสมทบทุนสร้างองค์หลวงปู่ทวด ไว้แล้ว ซึ่งเคยได้ขอให้ทางดีเอสไอ ดำเนินการ แต่คดีก็หยุดชะงักไปดังกล่าว” พระใบฎีกาเทียนชัย กล่าว
ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับเรื่องไว้โดยมอบหมายให้ พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.4 บก.ป.ดำเนินการในส่วนต่างๆ แต่กรณีการฟ้องร้องเรื่องที่ดินนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลแล้วจึงไม่สามารถดำเนินการได้ ขณะที่การร้องเรียนเรื่องการยักยอกทรัพย์ นั้น คงต้องตรวจสอบว่าคดีขาดอายุความแล้วหรือไม่ สำหรับกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ อ้างว่าได้ส่งเรื่องมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการ ก็จะตรวจสอบว่ามีการส่งเรื่องมายังหน่วยงานใดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งมีการพิจารณาดำเนินการไปแล้วหรือไม่ อย่างไร