ASTV ผู้จัดการออนไลน์ -สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดร่างแผนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา (Roadmap) อุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย “การทำประมงอย่างยั่งยืน” ตลอดห่วงโซ่การผลิต
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ร่างแผนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา (Roadmap) อุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม เพื่อนำไปสู่การประกาศเป็นแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และนำไปใช้จริงในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยจะมีการกำหนดกรอบ แนวทาง และกิจกรรม การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ในอุตสาหกรรมประมงทุกภาคส่วนอย่างชัดเจน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการประมงอย่างยั่งยืนภายใน 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้มีการประสานความร่วมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund หรือ WWF) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการประมงที่ยั่งยืน (Sustainable Fisheries Partnership หรือ SFP) เพื่อให้ร่างแผนการดำเนินการของประเทศมีกรอบ แผนพัฒนา และแนวทางปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐานสากล
ทั้ง 2 องค์กร จะมีการนำเสนอแผนพัฒนาโดยใช้มาตรฐานของโครงการปรับปรุงการประมง (Fishery Improvement Project หรือ FIP) เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และจะมีการนำร่างดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกันกับทุกภาคส่วน (ภาครัฐ เอกชน และ NGO) เพื่อประเมินสถานการณ์ประมงเทียบกับมาตรฐานความยั่งยืนการประมง เพื่อสรุปปัญหา และแนวทางแก้ไขในเดือนเมษายน หลังจากนั้น จะจัดทำเป็นแผนการทำงาน และประกาศเป็นแผนปฏิบัติการได้ตามเป้าหมายในเดือนกรกฎาคม
การจัดทำแผนการดำเนินการดังกล่าว เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของสมาคมฯ หลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทย ร่วมกับ 8 สมาคมประมงที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยสมาคมประมงที่ร่วมลงนาม MoU ประกอบด้วย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ซึ่งมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการที่จะ “ส่งเสริมให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทยมีความ ปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน”
“สมาคมฯ เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนงานได้ภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ และจะมีการตรวจติดตามความคืบหน้า และสื่อสารไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายของการทำประมงอย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ ย้ำว่า การดำเนินการตามแผนการทำงานนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและต้องปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกันตลอดห่วงโซ่การผลิต (supply chain) เริ่มตั้งแต่ชาวประมง ผู้ผลิตอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง มิฉะนั้น จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จับปลาที่ขนาดเล็ก ใช้เครื่องมือจับปลาที่ได้มาตรฐาน และไม่จับปลาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย
“อุตสาหกรรมประมงของไทยมีความซับซ้อน มีทั้งประมงพื้นบ้าน และประมงเชิงพาณิชย์ เราจะต้องหาจุดที่สามารถประสานประโยชน์ร่วมกันได้ ไม่ใช่ให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งทำ หรือภาคการผลิตใดทำก่อน เพื่อเป็นหลักประกันให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีรายได้” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ กล่าวอีกว่า หากภาคธุรกิจต้องการเอาตัวรอดก็จะหันไปนำเข้าวัตถุดิบปลาป่นจากต่างประเทศกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ประเทศไทยมีการทำข้อตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู และไทย-ชิลี ซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาป่นรายใหญ่ของโลก ซึ่งจะได้ประโยชน์จากอัตราภาษีต่ำด้วย ก็อาจจะทำให้อุตสาหกรรมประมงต้องเผชิญปัญหา แต่ภาคเอกชนจะไม่ทำอย่างนั้น
“เราต้องการให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการแบ่งปันในระบบเศรษฐกิจร่วมกัน หากเราภาคเอกชนเห็นแก่ตัวก็ทำได้โดยไปจับมือกับเปรู และโบกมืออำลาประเทศไทย” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองแตกแยกในประเทศไทยขณะนี้ เป็นแรงกดดันให้ภาคเอกชนต้องปรับแผนธุรกิจ และมีการพัฒนามากกว่าปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น อุตสาหกรรมการประมงก็เป็นหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และมีมาตรฐานสากลมารองรับ เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ร่างแผนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา (Roadmap) อุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม เพื่อนำไปสู่การประกาศเป็นแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และนำไปใช้จริงในเดือนสิงหาคมปีนี้ โดยจะมีการกำหนดกรอบ แนวทาง และกิจกรรม การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholder) ในอุตสาหกรรมประมงทุกภาคส่วนอย่างชัดเจน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการประมงอย่างยั่งยืนภายใน 5 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้มีการประสานความร่วมือกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund หรือ WWF) และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการประมงที่ยั่งยืน (Sustainable Fisheries Partnership หรือ SFP) เพื่อให้ร่างแผนการดำเนินการของประเทศมีกรอบ แผนพัฒนา และแนวทางปฏิบัติเป็นไปตามมาตรฐานสากล
ทั้ง 2 องค์กร จะมีการนำเสนอแผนพัฒนาโดยใช้มาตรฐานของโครงการปรับปรุงการประมง (Fishery Improvement Project หรือ FIP) เป็นแนวทางในการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และจะมีการนำร่างดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกันกับทุกภาคส่วน (ภาครัฐ เอกชน และ NGO) เพื่อประเมินสถานการณ์ประมงเทียบกับมาตรฐานความยั่งยืนการประมง เพื่อสรุปปัญหา และแนวทางแก้ไขในเดือนเมษายน หลังจากนั้น จะจัดทำเป็นแผนการทำงาน และประกาศเป็นแผนปฏิบัติการได้ตามเป้าหมายในเดือนกรกฎาคม
การจัดทำแผนการดำเนินการดังกล่าว เป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของสมาคมฯ หลังจากที่ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทย ร่วมกับ 8 สมาคมประมงที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยสมาคมประมงที่ร่วมลงนาม MoU ประกอบด้วย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ซึ่งมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการที่จะ “ส่งเสริมให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทยมีความ ปลอดภัย มั่นคง และยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน”
“สมาคมฯ เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนงานได้ภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ และจะมีการตรวจติดตามความคืบหน้า และสื่อสารไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายของการทำประมงอย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ ย้ำว่า การดำเนินการตามแผนการทำงานนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและต้องปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกันตลอดห่วงโซ่การผลิต (supply chain) เริ่มตั้งแต่ชาวประมง ผู้ผลิตอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง มิฉะนั้น จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จับปลาที่ขนาดเล็ก ใช้เครื่องมือจับปลาที่ได้มาตรฐาน และไม่จับปลาจากแหล่งที่ผิดกฎหมาย
“อุตสาหกรรมประมงของไทยมีความซับซ้อน มีทั้งประมงพื้นบ้าน และประมงเชิงพาณิชย์ เราจะต้องหาจุดที่สามารถประสานประโยชน์ร่วมกันได้ ไม่ใช่ให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งทำ หรือภาคการผลิตใดทำก่อน เพื่อเป็นหลักประกันให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีรายได้” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ กล่าวอีกว่า หากภาคธุรกิจต้องการเอาตัวรอดก็จะหันไปนำเข้าวัตถุดิบปลาป่นจากต่างประเทศกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ประเทศไทยมีการทำข้อตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู และไทย-ชิลี ซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาป่นรายใหญ่ของโลก ซึ่งจะได้ประโยชน์จากอัตราภาษีต่ำด้วย ก็อาจจะทำให้อุตสาหกรรมประมงต้องเผชิญปัญหา แต่ภาคเอกชนจะไม่ทำอย่างนั้น
“เราต้องการให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการแบ่งปันในระบบเศรษฐกิจร่วมกัน หากเราภาคเอกชนเห็นแก่ตัวก็ทำได้โดยไปจับมือกับเปรู และโบกมืออำลาประเทศไทย” นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ กล่าวต่อไปว่า ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองแตกแยกในประเทศไทยขณะนี้ เป็นแรงกดดันให้ภาคเอกชนต้องปรับแผนธุรกิจ และมีการพัฒนามากกว่าปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น อุตสาหกรรมการประมงก็เป็นหนึ่งที่จะต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และมีมาตรฐานสากลมารองรับ เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย