กาญจนบุรี - ชาวหนองสาหร่าย อำเภอพนมทวน รวมตัวยื่นข้อมูลต่อสื่อเมืองกาญจนบุรี โวยเจ้าของบ่อทรายรุกตักทรายปิดทางสาธารณะ ด้าน “เสี่ยใหญ่เจ้าของบ่อทราย” อ้างที่ดินซื้อถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนทางสาธารณะที่ชาวบ้านอ้างก็เป็นที่ดินอยู่ในโฉนด จนทั้ง 2 ฝ่ายหวิดวางมวย
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (23 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านหมู่ 7 บ้านหนองแหน ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ว่า ผู้ประกอบการบ่อทรายลักลอบดูดทรายริมทางสาธารณะ เป็นเหตุทำให้ถนนพังหลายจุด นอกจากนั้น ยังใช้รถแบ็กโฮตักทรายขึ้นมากองปิดเส้นทาง ทำให้การสัญจร และขนส่งพืชผลทางการเกษตรลำบาก ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนสายอื่นที่มีระยะทางห่างไกลออกไป
หลังจากได้รับการร้องเรียนจึงเดินทางไปตรวจสอบ พบนายสราวุธ หอมจันทร์ กำนันตำบลหนองสาหร่าย นายบุญมี เนตรสว่าง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 นายแรม เชียงกา แกนนำ พร้อมชาวบ้านกว่า 30 คน จากนั้นนำพาไปตรวจสอบจุดถนนทรุดตัว โดยทางสาธารณะกว้างประมาณ 8 เมตร มีเสาไฟฟ้า 2 เฟส ตลอดเส้นทาง สองฟากฝั่งถนนเป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่คล้ายทะเลสาบน้ำจืดที่เกิดจากการขุดทราย พบไหล่ทางยุบเว้าเข้ามาบนไหล่ทางสาธารณะหลายจุด
นอกจากนี้ ยังมีเรือดูดทรายขนาดใหญ่ลอยลำอยู่อ่างน้ำกำลังดูดทรายขึ้นมา โดยมีรถแบ็กโฮตักทรายขึ้นมากองไว้บนทางสาธารณะเป็นจำนวนมาก ทางสาธารณะเส้นดังกล่าวใช้สัญจรไปมาระหว่างชาวบ้านบ้านหนองแหน หมู่ 7 ต.หนองสาหร่าย อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ไปบ้านห้วยกรดหมู่ 13 ต.ตะคร้ำเอน อ.ท่ามะกา
นายสราวุธ หอมจันทร์ กำนันตำบลหนองสาหร่าย กล่าวว่า ทางสาธารณะที่ถูกผู้ประกอบการบ่อทรายดูดทรายจนถนนพังมีระยะทางประมาณ 250 เมตร พื้นที่ด้านข้างเป็นของผู้ประกอบการบ่อทรายจริง ซึ่งได้ซื้อมาจากอดีตกำนันตำบลหนองสาหร่าย มานานหลายสิบปีแล้ว ตนและผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งชาวบ้านขอยืนยันว่า ถนนที่ถูกทำลายนั้นเป็นทางสาธารณประโยชน์ และชาวบ้านหมู่ 7 ก็ใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางเข้าออกมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วเราจะต้องมาช่วยกันแก้ไข ส่วนการยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานภาครัฐ ขณะนี้ทราบว่าเรื่องไปถึงอำเภอพนมทวนแล้ว
นายบุญมี เนตรสว่าง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 เปิดเผยว่า พื้นที่หมู่ 7 มีประมาณ 5,000 ไร่เศษ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่จะเป็นของผู้ประกอบการบ่อทราย เพราะพื้นที่ของเรามีหน้าดินลึกเพียง 3 เมตรเท่านั้น ลึกลงไปเป็นทรายทั้งหมด จึงเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการบ่อทราย ผู้ประกอบการหลายรายได้กว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านรวมกันกว่า 2,000 ไร่ เพื่อทำธุรกิจดูดทรายไปขาย
ส่วนพื้นที่เกิดเหตุนั้น คาดว่าเป็นเพราะผู้ประกอบการดูดทรายออกไปจนเกือบหมดแล้ว เพราะทำมานานกว่า 20 ปี ภายหลังจึงฉวยโอกาสมาดูดทรายที่อยู่ติดกับทางสาธารณะเส้นนี้ ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะต้องดูดทรายห่างจากทางสาธารณะประมาณ 20 เมตรขึ้นไป และจะต้องชัน 45 องศา แต่ปัจจุบันความชันอยู่ที่ 90 องศา และติดกับถนนจึงทำให้มวลน้ำที่อยู่ในอ่างเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่เศษ ถูกลมพัดกระเพื่อมกลายเป็นคลื่นซัดเข้าริมถนนจนดินสไลด์ลงไปตามน้ำพังเสียหาย
“ผมขอยืนยันว่า เส้นทางที่ถูกผู้ประกอบการบ่อทรายดูดทรายจนพังทลาย และจุดที่นำทรายขึ้นมากองไว้เป็นเส้นทางสาธารณประโยชน์จริง ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่ดินก็เคยมาตรวจสอบแต่เรื่องก็เงียบไป ดังนั้น เจ้าหน้าที่ที่ดินจะต้องมาตรวจวัดพิกัดให้แน่ชัดว่า ทางสาธารณะนั้นเริ่มจากจุดใดไปถึงจุดใดกันแน่ และพื้นที่คนละฝั่งถนนก็เป็นบ่อทรายเช่นกัน หากบ่อทรายทั้ง 2 แห่งดูดทรายจนทางสาธารณะจมอยู่ใต้น้ำ แล้วชาวบ้านอย่างพวกเราจะทำอย่างไร”
ด้านนายแรม เชียงกา แกนนำ กล่าวว่า เดิมทีพื้นที่ดังกล่าวเป็นของอดีตกำนันตำบลหนองสาหร่าย ซึ่งต่อมา อดีตกำนันได้ขายที่ดินให้แก่บริษัทเอกชนเพื่อประกอบธุรกิจบ่อทราย ปัญหาที่เกิดตามมาในภายหลังก็คือ ผู้ประกอบการธุรกิจบ่อทรายได้นำเครื่องมือหนักเข้ามาดูดทรายติดกับทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุทำให้ทางสาธารณะเกิดดินสไลด์ลงไปในอ่างเก็บน้ำของบ่อทรายได้รับความเสียหายหลายจุด และยังนำทรายขึ้นมากองปิดกั้นทางสาธารณะอีกด้วย จะสังเกตได้จากเสาไฟฟ้าที่เดินมาจากถนนสายหลักทางบ้านห้วยกรดเข้ามา และก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ทราบว่าผู้ประกอบการบ่อทรายได้ยื่นเรื่องขอให้การไฟฟ้าท่าเรือมาย้ายเสาไฟออกไป แต่การไฟฟ้าไม่ได้มาย้ายตามคำร้องขอ
“ผมเคยเป็นผู้นำมาก่อนจึงทราบดีว่า ถนนเส้นไหนเป็นทางสาธารณะ หรือไม่ใช่ทางสาธารณะ ปัจจุบันผมอายุ 45 ปีแล้ว ตั้งแต่เกิดมาผมก็ใช้ถนนเส้นนี้เดินทางเข้าออกอยู่เป็นประจำ ดังนั้น ถนนเส้นนี้มีมาก่อนที่ผมจะเกิดเสียอีก จึงอยากฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่เทศบาล เจ้าหน้าที่อำเภอ และเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรม ที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงนำแผนที่เข้ามาตรวจสอบ และวัดพิกัดให้แน่ชัดผู้ประกอบการบ่อทรายลักลอบดูดทรายติดกับทางสาธารณะจนถนนพังจริงหรือไม่ ซึ่งเจ้าของผู้ประกอบการบ่อทรายอ้างว่า ทางสาธารณะอยู่ในโฉนดที่ดิน เป็นไปได้อย่างไร หากยังปล่อยเฉยชาวบ้านหลายครัวเรือนจะต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอน”
ทางด้านนายพนัส บุญรอด อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 151 หมู่ 4 ต.คุ้งพะยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เจ้าของบ่อทราย ชี้แจงว่า ที่ดินทั้งหมดตนซื้อมาถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนที่ดินที่ชาวบ้านร้องเรียนว่าตนบุกรุกทางสาธารณะนั้น ตนขอยืนยันว่าเส้นทางดังกล่าวไม่ใช่ทางสาธารณะ แต่เป็นที่ดินของตนที่ซื้อมาจากอดีตกำนัน โดยมีโฉนดยืนยันอย่างชัดเจน
สำหรับพื้นที่บ่อทรายของตนมีประมาณ 200 กว่าไร่ และได้ประกอบการธุรกิจบ่อทรายมานานกว่า 20 ปีแล้ว ส่วนบริเวณที่ปลูกต้นปาล์มนั้นก็เป็นที่ดินที่ตนซื้อมานานแล้ว แต่เจ้าของที่ดินเดิมไม่ยอมขุดออกเอง ตนขอยืนยันตามเอกสารโฉนดที่มีว่าการที่ตนถูกร้องเรียนว่าบุกรุกทางสาธารณะนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และภายหลังจากมีปัญหาเกิดขึ้นก็มีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาพูดคุยเพื่อตกลงขอให้ตนกันเส้นทางถนนให้แก่ชาวบ้านกว้าง 8 เมตร ซึ่งตนก็ยินดี ยอมทำให้ และเป็นคนจัดการให้ทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจอีก
สำหรับจุดที่มีเสาไฟฟ้าเดินเข้ามานั้นเมื่อก่อนมีบ้านคนอยู่ และตนก็ได้ซื้อที่ไปแล้ว และเจ้าของได้ย้ายออกไป ซึ่งตนก็สั่งให้คนงานทุบบ้านทิ้ง ขณะนี้ตนทำเรื่องร้องขอไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคท่าเรือให้มาช่วยย้ายเสาไฟออก แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ และที่ผ่านมา ตนถูกข่มขู่มาโดยตลอด ซึ่งตนได้ตัดสินใจไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.พนมทวน ไว้เป็นหลักฐานแล้ว
รายงานข่าวว่า ขณะที่นายพนัส บุญรอด เจ้าของบ่อทรายกำลังอธิบายถึงโฉนดขอบเขตการครอบครองที่ดิน โดยชี้ว่าที่ดินของตนติดกับกำแพงบ้านของอดีตกำนัน รวมทั้งทางสาธารณะที่ชาวบ้านอ้างก็อยู่ในโฉนดที่ดินเช่นกัน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มชาวบ้านเป็นอย่างมาก จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง และหวิดที่จะชกต่อยกันอีกด้วย โดยชาวบ้านบอกว่าจะซื้อที่ดินกี่ไร่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่จุดที่มีปัญหาคือ ทางสาธารณประโยชน์ที่ชาวบ้านใช้ร่วมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะมายึดครองเป็นของส่วนตัวไม่ได้