ผบ.เรือนจำนครพนม เร่งหาเครือข่ายค้ายาบ้าในเรือนจำ

นครพนม - ผบ.เรือนจำกลางนครพนม เร่งขยายผลหาตัวเครือข่ายค้ายาบ้าในเรือนจำ หลังจับเจ้าหน้าที่พร้อมรถขนขยะอบต.ขามเฒ่า มียาบุกซุกซ่อนและโทรศัพท์มือถือ พร้อมเพิ่มมาตรการสกัดการลักลอบนำยาเสพติดเข้าเรือนจำ ส่วนระยะยาวต้องเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เรือนจำให้สอดคล้องกับผู้ต้องขังยาเสพติด

วันนี้(21 ก.ย.)นายทวีรัตน์ นาคเนียม ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครพนม กล่าวถึงกรณีการจับกุมนายทรัพย์ หม่อมบัว อายุ 55 ปี พนักงานขอบรถขณะองค์การบริหารส่วนตำบลขามเฒ่า อ.เมือง จ.นครพนม พร้อมนายวาที วงศ์ทิ อายุ 49 ปี และนายธงชัย หอมกลิ่น อายุ 44 ปี พนักงานลูกจ้าง พร้อมยึดรถยนต์บรรทุกขยะมิตซูบิชิ สีเหลือง ทะเบียน 80-5583 นครพนม ของอบต.ขามเฒ่า ภายหลังตรวจพบมีซุกซ่อนยาบ้า ไว้บริเวณบังโคลนล้อหน้าซ้าย 198 เม็ด โทรศัพท์มือถือสภาพใหม่ ยังไม่ผ่านการใช้งานรวม 9 เครื่องอุปกรณ์ใช้งานครบชุด และไฟแช็ค 8 อัน

โดยตรวจยึดได้ขณะเจ้าหน้าที่กำลังจะขับรถบรรทุกขยะ เข้าไปเก็บขยะภายในเรือนจำ จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผล เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธ และจากตรวจสอบไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่เชื่อว่าจะต้องมีการวางแผนร่วมกัน ระหว่างผู้ต้องขังกับขบวนการค้ายาเสพติดภายนอก

ล่าสุด เรือนจำกลางนครพนมได้ระดมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกลุ่มผู้ต้องขังเป้าหมาย พร้อมตรวจค้นภายในเรือนนอนแดนที่มีความเสี่ยงเพื่อหาหลักฐาน เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายสามารถขยายผลได้ เพราะรู้ความเคลื่อนไหวของรถขยะ

นายทวีรัตน์ กล่าวว่า พนักงานขับรถจะรู้เห็นหรือไม่ต้องรอการสอบสวน โดยเรือนจำจะเพิ่มมาตรการเข้ม ทั้งตรวจสอบควบคุมการนำสิ่งของ อาหารมาเยี่ยมญาติ ไปจนถึงการเข้าออกของเจ้าหน้าที่ และรถยนต์ที่มีความจำเป็นนำสิ่งของเข้าเรือนจำ จะต้องสั่งห้ามเด็ดขาดหากไม่จำเป็น ตัดปัญหาฉวยโอกาสของขบวนการค้ายาบ้าในเรือนจำ ที่ผ่านมาพบมีความพยายามหลายครั้ง ทั้งการโยนยาบ้าข้ามกำแพงเรือนจำ ซุกซ่อนมาในอาหารเยี่ยมญาติ แต่สามารถจับกุมได้

ที่สำคัญปัญหาใหญ่ของเรือนจำ คือ เดิมมีอำนาจคุมขังผู้ต้องขังที่ถูกตัดสินคดี จำคุกไม่เกิน 20 ปี แต่ขยายเป็น 30 ปี จึงเกิดปัญหาผู้ต้องขังเกินรองรับ ปัจจุบันมีเกือบ 2,300 คน กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากคดียาเสพติด ในอนาคตจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะจังหวัดชายแดนมีปัญหายาเสพติดสูง สิ่งที่ตามมาคือการดูแลไม่ทั่วถึง เพราะอัตรากำลังการควบคุมน้อย แค่ประมาณ 30 คน ปัจจุบันต้องดูแล 1 ต่อ 70 คน จึงจะเสนอต้นสังกัดพิจารณาเพิ่มอัตรากำลังแล้ว