xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละประวัติชั่ว “สมีพลชัย” แก๊งปลอมลายพระหัตถ์-ภาวนาพุทโธ-ชักปืนขู่พระผู้ใหญ่-ปาราชิกซ้ำซาก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 (ภาพบน) พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) ปัจจุบันตั้งตนเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี (ภาพล่าง) ขณะกำลังถูกกองปราบฯจับกุมขณะแต่งชุดนายทหารยศ ผู้พัน ขับรถหรูพาสีกาไปกก ในบ้านย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และจับสึกเนื่องจากต้องอาบัติปาราชิก เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เปิดประวัติฉาว “สมีพลชัย” พบสร้างความชั่วมาเกือบตลอดชีวิต ปาราชิกซ้ำซาก ชักปืนขู่พระผู้ใหญ่ ร่วมปลอมลายพระหัตถ์รักษาการสมเด็จพระสังฆราช “อาจ อาสโภ” ขาย “สมณศักดิ์ปลอม” ให้แก่พระผู้ปรารถนา “ลาภ ยศ สรรเสริญ” จนเกิด “พระครูปลอม” เกลื่อนประเทศ และเป็นแก๊ง “ภาวนาพุทโธ” ก่อนถูกจับสึกปี 43 หนีระเหเร่ร่อนไปทั่วเมืองไทยก่อนกลับมาบวชอีกครั้งเปลี่ยนชื่อเป็น “พระมหา ดร.พลชัย”

หลังจาก “ASTVผู้จัดการ” ได้รับร้องเรียนว่า พบพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่แต่งชุดนายทหารยศ “ผู้พัน” ขับรถยนต์หรูพาสีกาไปนอนกกที่บ้านบางบัวทอง จ.นนทบุรี จนถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯ บุกเข้าจับกุมและจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ในขณะนั้นตามจับตัว

แต่ตอนนี้ “อลัชชีมาเฟีย” ผู้นี้ได้แอบกลับมาบวชเป็นพระใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อจาก “พระวันชัย ถาวโร” มาเป็น “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” นั่งฉันข้าวร่วมวงกับพระเถระผู้ใหญ่ และเข้าไปทำกิจกรรมในทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิดที่ตนเองเคยกระทำไว้ ปัจจุบัน พระอลัชชีมาเฟียผู้นี้ ได้เข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่ปี 2553 และพยายามที่จะยึดสมบัติของวัด ซึ่งมีที่ดินร่วม 100 ไร่ และทรัพย์สินของเก่ามากมายที่พระครูวิเศษพัฒนคุณ (พ่อเที่ยง ผาสุโก) ได้บุกเบิก และก่อตั้งมา หลังจากที่หลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพแล้วเมื่อปี 2554

จากการตรวจสอบตามประวัติของ “ทีมเฉพาะกิจASTVผู้จัดการ” พบว่า นายวันชัย หรือนายพลชัย อุ่นทรัพย์ หรือพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร คนนี้เคยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อปี 2517 ขณะนั้นอายุได้ 17 ปี

พออายุ 20 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทเป็นพระได้รับฉายาว่า “ถาวโร” อยู่ที่วัดท่าช้าง สังกัดมหานิกาย โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2520 พระครูไพโรจน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อสุบิน) เจ้าอาวาสวัดหัวเขา ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์

หลังบวชเป็นพระได้ไม่นานก็ได้ไปฝากตัวของเป็นศิษย์กับหลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี โดยอ้างว่าเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ต่อมากลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศ

ต่อมา ในขณะปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลาได้รู้จักกับแม่ชีองค์หนึ่งที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน โดยระหว่างปฏิบัติธรรมอยู่บนศาลา แม่ชี อ้างว่าปวดท้องจึงขอออกไปเข้าห้องน้ำ และ “อลัชชี” คนนี้ได้เดินตามออกไปโดยทั้ง 2 คนหายไปประมาณ 1 ชั่วโมงจึงกลับเข้ามา ต่อมา หลวงพ่อสังวาลย์ ทราบถึงพฤติกรรมจึงไล่ออกจากสำนัก และสั่งสำนักสาขาต่างๆ ห้ามรับเข้าสังกัดเด็ดขาด

หลังจากนั้น “อลัชชี” รายนี้ก็หายหน้าไปได้ระยะหนึ่งโดยไม่มีใครทราบว่าไปหลบซ่อนตัว หรือฟอกตัวเองอยู่ที่ไหน ขณะที่บางกระแสบอกว่าถูกจับสึกไปแล้ว

แต่จู่ๆ ราวปี 2528 “อลัชชี” รายนี้ก็โผล่หน้าปรากฏในวงการสงฆ์อีกครั้ง โดยได้เข้าไปอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร

เมื่อไปอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ได้ไม่นาน ด้วยความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี เข้ากับคนได้ง่าย พูดจาน่าเชื่อ จึงทำให้มีพรรคพวก และเพื่อนมากขึ้น จนกระทั่งได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มคณะพระเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) สมเด็จพระราชาคณะ เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่า “อลัชชี” รายนี้เคยถูกหลวงพ่อสังวาลย์ ไล่พ้นจากสำนักอันเนื่องมาจากการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศมาก่อน

หลังจากได้เข้าไปทำงานอยู่ในกลุ่มคณะพระเลขาฯ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ได้ไม่นานลายก็ออกอีก คราวนี้มีการร่วมมือกับพระพรรคพวกในกลุ่มพระเลขาฯ ซึ่งในขณะนั้น นายสมศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือ “สมีเจี๊ยบ” หรือ “โล้นคาเฟ่” อดีตพระครูสมุห์สรศักดิ์ เป็นเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์อยู่ โดยร่วมกันปลอมแปลงลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) เพื่อออกใบ “สมณศักดิ์” และขายใบ “สมณศักดิ์” ให้แก่พระ หรือเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ที่ต้องการจะเลื่อนสมณศักดิ์ จนเกิดเป็นข่าวเกรียวกราวตามสื่อต่างๆ เมื่อราวปี 2530-2531 หลังจากมีการตรวจสอบพบว่าใบสมณศักดิ์ ของพระหลายรูปที่ได้เลื่อนชั้นเป็น “พระครู” นั้นเป็นของปลอม จนทำให้เกิดมี “พระครู” ปลอมเกิดขึ้นมากมายทั่วประเทศ

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้เข้าไปตรวจสอบพบความจริง และมีการจับกุมดำเนินคดี และจับสึกไปหลายราย โดยเฉพาะ นายสมศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ โล้นคาเฟ่ อดีตพระครูสมุห์สรศักดิ์ และอดีตเลขานุการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ก็ถูกจับสึกด้วย และมีการตรวจสอบด้วยว่า “สมีเจี๊ยบ” ได้พาสีกามามั่วสุมถึงภายในกุฏิวัดด้วย ส่วน “อลัชชี” รายนี้ได้อาศัยความชำนาญเอาตัวรอดหลบหนีไปอีก และไม่มีใครทราบว่าหลบไปกบดานอยู่ที่ไหน

**จัดธุดงค์หลอกลวงพระ-ญาติโยม

หลังจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) อาพาธด้วยโรคหัวใจล้มเหลว และถึงแก่มรณภาพอย่างสงบเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2532 และเรื่องคดีปลอมแปลงลายพระหัตถ์ขาย “ใบสมณศักดิ์” ให้แก่ “พระครูปลอม” เริ่มเงียบลงตามนิสัยคนไทยที่มักลืมง่าย “อลัชชี” รายนี้ก็โผล่หน้าปรากฏขึ้นอีกครั้งที่วัดมหาธาตุฯ ซึ่งการกลับมาในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้พฤติกรรมเก่าๆ เปลี่ยนไปจากเดิมแต่กลับหนักขึ้นกว่าเก่าอีก

จากประสบการณ์เลว-ชั่วที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อสังวาลย์ แต่กลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสมในความเป็นสมณเพศกับแม่ชี จนถูกหลวงพ่อสังวาลย์ ไล่ออกมาและร่วมกันปลอมแปลงลายพระหัตถ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ขาย “ใบสมณศักดิ์ปลอม” ให้แก่พระสงฆ์ผู้ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ จึงทำให้ “อลัชชี” รายนี้มีช่องทางทำมาหากินด้วยการต้มตุ๋น หลอกลวงได้ถนัดมากขึ้น โดยไม่เกรงกลัวต่อบาป และนรกอเวจี

โดยคราวนี้ได้ยกตนเองขึ้นเป็นพระระดับแกนนำร่วมกลุ่มกับพระในแก๊งที่เคยคบหาสมาคมกันมา และร่วมกับสีกาบางกลุ่มบางคนวางแผนจัดทำโครงการธุรกิจพาณิชย์หารายได้เข้าย่ามกันอย่างไม่ละอายต่อบาป มีการจัดทำธุรกิจนำพระไปเดินธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ และนำพระไปเข้าปริวาสกรรมตามสถานที่ต่างๆ

จากนั้นได้มีการประชาสัมพันธ์ตามรูปแบบที่ถนัด เชิญชวนให้ญาติโยมผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา หวังจะได้บุญไปสวรรค์ นิพพาน ได้ร่วมกันควักกระเป๋านำสตางค์ถวายให้มากบ้างน้อยบ้างตามแต่กำลังศรัทธา โดยมีการอุปโลกน์ตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ที่ไปธุดงค์ และอยู่ปริวาสกรรมให้ดูมากๆ ยิ่งขึ้นเพื่อเรียกศรัทธานำเงินออกจากกระเป๋าญาติโยม

เช่น ถ้ามีการนำพระไปเดินธุดงค์ยังต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดีย โดยเชิญชวนให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคเป็นค่ารถ ค่าเครื่องบินไปกลับให้แก่พระประมาณ 20 รูป แก๊ง “อลัชชี” กลุ่มนี้ก็จะอุปโลกน์ตัวเลขขึ้นไปว่ามีพระประมาณ 50-60 รูป หรือหากมีญาติโยมบริจาคให้ครบแล้วตามจำนวนที่แก๊งนี้เชิญชวนก็จะบอกว่าได้ยังไม่ครบ ซึ่งคนที่หลงเชื่อก็จะบริจาคเงินเข้าไปอย่างต่อเนื่อง แต่พอไปถึงประเทศอินเดียแล้วก็จะปล่อยให้พระสงฆ์เหล่านั้นอยู่ตามยถากรรม และเดินทางกลับเอง

นอกจากนี้ “อลัชชี” แก๊งนี้ยังจะทำหน้าที่เป็น “นายหน้า” ประกาศเชิญชวนญาติโยมให้ร่วมกันทำบุญด้วยการบริจาคเงินซื้อ “กลด” อ้างว่าเพื่อนำไปถวายให้แก่พระที่ไม่มีกลด โดยให้สีกานางหนึ่งซื้อเล่นว่า “สีกาเจี๊ยบ” เปิดร้านขายกลดให้แก่ญาติโยมอยู่ที่บริเวณวงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ เมื่อโยมซื้อกลด และนำไปถวายพระแล้วก็จะเอากลดนั้นเวียนเทียนกลับมาให้ “สีกาเจี๊ยบ” ขายอีก และบอกว่าพระยังได้กลดไม่ครบ เมื่อได้เงินแล้วก็จะนำเข้าย่ามตนเอง

“ครั้งหนึ่งอลัชชีกลุ่มนี้ได้เคยไปนิมนต์พระ และสามเณรจากเชียงตุง ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า ตั้งอยูในทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน และจากลาว จากเวียดนาม มาร่วมเดินธุดงค์ในประเทศไทยด้วย โดยมีการจัดทำอย่างใหญ่โต เพื่อเรียกแรงศรัทธาจากญาติโยมให้นำเงินมาบริจาค จนได้เงินจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็มีการลอยแพพระและสามเณรเหล่านั้นให้อยู่ตามยถากรรม และหาเงินกลับภูมิลำเนากันเอง"

**เคยชักปืนขู่พระผู้ใหญ่ก่อนโดนไล่

“อลัชชี” กลุ่มนี้ได้ทำมาหากินในลักษณะเช่นนี้อยู่ประมาณ 4-5 ปี จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอีก กระทั่งถูกพระผู้ใหญ่ในวัดมหาธาตุฯ รูปหนึ่งเรียกพระวันชัย หรือพลชัย ไปว่ากล่าวตักเตือนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระวันชัย เลิกพฤติกรรม “ชั่ว” ใช้ศาสนาบังหน้าหากินแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งพระผู้ใหญ่องค์เดิมทนไม่ไหว และได้เรียกไปว่ากล่าวตักเตือนอีก แต่พระวันชัย กลับไม่เชื่อฟัง และได้แสดงพฤติกรรม “อิทธิพลเถื่อน” ออกมาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในผ้าเหลือง ด้วยการชักปืนออกจากย่ามแล้วไปวางบนตักพระผู้ใหญ่รูปนั้น

แต่ในที่สุดความชั่วของพระวันชัย ก็พ่ายแพ้ต่อความดี เมื่อพระทางวัดได้มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมพระวันชัย แต่ด้วยความชำนาญในการหลบหนีมาหลายครั้งแล้ว ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจับกุมพระวันชัย ได้อีกเช่นเคย

พระวันชัย หลบหนีไปได้ระยะหนึ่งก็โผล่มาอีก คราวนี้ไปโผล่ที่ “วัดท่าช้าง” ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่บ้านเกิดของตนเองในตำแหน่ง “เจ้าอาวาส” โดยมีสมณศักดิ์เป็น “พระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร”

เมื่อพระวันชัย หรือพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร ได้มาเป็นใหญ่อยู่ที่วัดท่าช้างได้ไม่นานลายสัตว์เลี้อยคลานก็โผล่ออกมาอีก มีทั้งการมั่วสุมภายในวัด ปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณเพศ จนชาวบ้านรอบวัด และในพื้นที่ ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช ทนต่อพฤติกรรมไม่ไหวและได้พยายามรวมตัวกันต่อต้านมาตลอด แต่ชาวบ้านก็ถูกข่มขู่

แม้จะเคยนำเรื่องไปร้องเรียนต่อพระผู้ใหญ่มาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เรื่องก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของพระวันชัย จึงทำให้พระวันชัย หรือพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร มีอำนาจ และอิทธิพลขยายวงกว้างมากขึ้น

**เคยถูกจับสึกต้อง “ปาราชิก” เมื่อปี 43

กระทั่งเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 พระวันชัย ก็ถูกเจ้าหน้าที่กองปราบปรามนำโดย พ.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผกก.2 ป. พ.ต.ท.ชัยทัต บุญขำ รอง ผกก.2 ป. และ พ.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ สว.ผ.3 กก.2 ป. (ยศในขณะนั้น) นำกำลังบุกเข้าจับกุมได้ขณะที่สวมชุดนายทหารยศ “พันเอก” หน่วยรบพิเศษทับจีวรเอาไว้ขณะขับรถเบนซ์คันหรูไปกกสีกาสาว หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนว่า “พระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร” มีพฤติกรรมละเมิดผิดวินัยสงฆ์ เสพเมถุนอาบัติปาราชิก และถูกจับสึกวันเดียวกัน

ต่อมา ศาลชั้นต้นได้ตัดสินจำคุก 6 เดือนไม่รอการลงอาญานายวันชัย เพราะศาลเห็นว่าเคยเป็นพระสงฆ์ระดับพระสังฆาธิการ หรือข้าราชการสงฆ์ที่ย่อมทราบดีถึงความถูกความผิด ความควรหรือไม่ควรอย่างไร จะเห็นได้ว่าพระรูปนี้สามารถหลอกลวงญาติโยม ได้เงินทองไปเป็นจำนวนมหาศาล แล้วนำไปใช้จ่ายอย่างไม่เป็นบุญเลย เมื่อโดนจับสึกไม่ทราบว่าได้เงินทองเข้าของญาติโยมบริจาคติดตัวไปป้องกันความชั่วของตนเองเท่าไร

หลังจากนั้น นายวันชัย ก็ได้หายตัวไปอีกโดยไม่มีใครทราบว่าไปกบดานอยู่ที่ใด แต่มีคนพบเห็นนายวันชัย ไปโผล่อยู่ที่วัดหลักสาม หรือวัดอาทิตย์จันทราราม ซอยเพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ โดยมี “พระครูสุวิธานวิหารกิจ” เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งมีความสนิทสนมกับนายวันชัย มาก่อน

**แอบบวชไหม่เปลี่ยนชื่อเป็น “พลชัย”

จนกระทั่งมีการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2545 นายวันชัย ได้ไปอุปสมบทเป็นพระอีกครั้งทางภาคอีสานที่ “วัดมหาชัย” ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม โดยใช้ชื่อ “พระพลชัย” ได้รับฉายา “ถาวโร” มีพระเทพวุฒาจารย์ (สินธุ์ เขมิโก) เจ้าอาวาสวัดมหาชัย และเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิชัยสารกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ในขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมี “พระครูสุวิธานวิหารกิจ” เจ้าอาวาสวัดหลักสาม ที่พานายวันชัย หลบหนีไปกบดานอยู่ด้วยหลังถูกจับสึก และมีความสนิทสนมกับนายวันชัย ตามไปเป็น “พระอนุสาวนาจารย์” อย่างน่าผิดสังเกต

หลังอุปสมบทแล้ว พระพลชัย ก็เข้าไปอยู่ในสังกัดวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ต่อมาได้ทำเรื่องย้ายสังกัดไปอยู่ที่ “วัดธรรมปัญญา” ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2552 โดยมีพระปลัดสายัณห์ สุวัณโณ เป็นเจ้าอาวาส

จากนั้นปี 2553 พระพลชัย ได้ไปโผล่แบบเปิดหน้าตนเองเต็มๆ อีกครั้งที่พักสงฆ์ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี หรือวัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวัดที่ “พระครูวิเศษพัฒนคุณ” หรือหลวงปู่เที่ยง ผาสุโก เป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้ง โดยขณะนั้นหลวงปู่เที่ยง ยังมีชีวิตอยู่ และหลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพลงในปี 2554 เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

เมื่อไปอยู่วัดเจ้าเงาะ หลังหลวงปู่เที่ยงมรณภาพลง พระพลชัย ก็ได้ทำการฟอกตัวเองอีกครั้งด้วยการยกตนเองขึ้นเป็นประธานเจ้าสำนักเจ้าเงาะ พร้อมกับใช้ชื่อเต็มยศว่า “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” โดยที่ไม่มีใครทราบมาก่อนเลยว่าเคยได้ไปเรียนบาลี สอบได้มหาเปรียญที่วัดใด และได้ “ด็อกเตอร์” มาจากมหาวิทยาลัยใด

จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนที่พระพลชัย จะไปอยู่ที่วัดเจ้าเงาะ ทราบว่าได้ไปอยู่กับพระครูสุวิธานวิหารกิจ ที่หลักสาม ซอยเพชรเกษม 81 เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร มาก่อน แต่เนื่องจากพระครูสุวิธานวิหารกิจ ทราบพฤติกรรมเพื่อนเก่าอย่างดี หากปล่อยให้อยู่ภายในวัดหลักสามต่อไปอาจจะนำความเสี่ยมเสียมาถึงตน และวัดได้ จึงวางแผนผลักออกให้พ้นจากวัด ด้วยการนำไปฝากไว้กับหลวงปู่เที่ยง ที่วัดเจ้าเงาะ โดยบอกกลับหลวงปู่เที่ยงว่า “พระพลชัย จะมาช่วยพัฒนาวัดให้มีความเจริญ เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสามารถ” ซึ่งหลวงปู่เที่ยง ก็รับไว้โดยที่ไม่เคยทราบประวัติ และพฤติกรรมของพระพลชัย ผู้เลวร้ายรายนี้มาก่อนแต่อย่างใด

กระทั่งหลวงปู่เที่ยง มรณภาพเมื่อปี 2554 พระพลชัย จึงวางแผนยึดวัดอย่างเบ็ดเสร็จโดยอ้างว่า “ได้รับมรดกและพินัยกรรมจากหลวงปู่เที่ยง ให้ดูแลวัด และทรัพย์สินทั้งหมด”

**โดน “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” ไล่ล่า

ครั้งหนึ่ง...หลังจากที่พระพลชัย แอบกลับมาอุปสมบทใหม่เมื่อปี 2545 วันหนึ่งได้ไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยนำเงินใส่ซองไปด้วย คาดว่าคงจะนำไปถวายท่าน

แต่พอกราบท่านเสร็จ พระพลชัย ได้ถามสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ว่า “จำผมได้มั้ยครับ ผมชื่อ พลชัย” สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านไม่เคยลืม และกำลังตามล่าตัวเจ้าอยู่ด้วย พอเห็นหน้าก็จำได้ทันที

พร้อมกับชี้หน้าว่า “แกมันไม่ใช่พระนี้หว่า” จากนั้นได้รีบโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาจับกุม แต่ไม่ทันได้จับกุม พระพลชัย คนนี้ก็ได้รีบเผ่นออกจากวัดชนะสงคราม ขึ้นรถหนีออกไปก่อน

**โผล่ทำเนียบฯ-ถ่ายรูปกับ “ยิ่งลักษณ์”

หลังจากไปอยู่ที่วัดเง้าเงาะ ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าสำนักแล้ว พระพลชัย ก็ยังคงใช้นิสัยอันถาวร พฤติกรรมเก่าๆ หลอกลวงชาวพุทธหากินเหมือนเดิม ทั้งการเช่าเวลาสถานีวิทยุ เพื่อออกอากาศเชิญชวนญาติโยมให้ไปทำร่วมบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ห้องน้ำ ศาลาการเปรียญ เชิญชวนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ทุกวันเสาร์ ที่วัดเจ้าเงาะ โดยปัจจุบันจะมีการออกอากาศ 4 สถานีด้วยกัน ในกรุงเทพฯ 2 สถานี และ จ.ปราจีนบุรี 2 สถานี ใช้ชื่อรายการว่า “ธุงคงค์วัตร” โดยเสียค่าเช่าเวลาทั้งหมด 4 สถานี เป็นเงิน 190,000 บาทต่อเดือน

ขณะนี้ยังไม่มีใครที่จะเข้าไปดำเนินการต่อ พระพลชัย และยังคงปล่อยให้ลอยนวลอยู่ในวงการสงฆ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยที่ทางพระเถระผู้ใหญ่ และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม่ได้ใส่ใจที่จะดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่ๆ รู้ว่า พระพลชัย เคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543

โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา พระพลชัย และพระมหา ดร.วิชัย ปุญญกาโม ประธานสงฆ์วัดขุนจันทร์ พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนา และภาคประชาสังคมได้ไปนั่งร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาล เพื่อดำเนินโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์ ในวันที่ 26 มิ.ย.56 ระหว่างเวลา 14.22-15.22 น.ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ

อีกทั้งยังพบว่าช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา พระพลชัย ผู้นี้ก็ได้ปรากฏตัวไปนั่งอยู่ในสถานที่นั้นด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าทางคณะสงฆ์ พระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งต่างก็รู้ถึงพฤติกรรมของพระพลชัย ในอดีตดีว่าได้สร้างความหม่นหมองให้แก่วงการสงฆ์มามากน้อยขนาดไหน ทั้งในอดีต และปัจจุบัน แต่ก็ยังปล่อยให้ลอยนวลเข้าไปในสถานที่สำคัญเช่นนั้นได้

โดยภาพดังกล่าวที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังสนทนากับสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา โดยมี พระพลชัย ผู้อื่อฉาวผู้นี้นั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย ได้ถูกพระพลชัย นำไปใส่กรอบตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อโชว์ให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง โดยจะมีพระลูกวัดค่อยแนะนำ และประชาสัมพันธ์ชวนเชื่อเพื่อให้เกิดความศรัทธา จากนั้นก็จะได้สละทรัพย์สมบัติของตนเองให้

**ปลอมหนังสือสุทธิ 3 เล่มตบตาชาวพุทธ

ปัจจุบัน พระมหา ดร.พลชัย ได้ถือหนังสือสุทธิทั้งหมด 3 เล่มอย่างที่ไม่เคยปรากฏว่ามีพระสงฆ์องค์ใดเคยถือมาก่อน และจากการตรวจสอบพบว่า หนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่ม น่าจะเป็นของปลอม โดยเล่มแรกตรวจสอบพบว่า เป็นหนังสือสุทธิแบบใหม่ที่เพิ่งจะนำมาใช่ในราวๆ ปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งจะมีเลขประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือสุทธิ จำนวน 13 หลักกำกับอยู่ แต่กลับพบมีการระบุ “การอุปสมบท” เป็นพระของพระพลชัย ถาวโรว่า อุปสมบทเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2520 วัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี

ส่วนแบบเก่าจะไม่มีเลขประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือสุทธิกำกับไว้แต่อย่างใด แต่กลับมีการระบุในหนังสือสุทธิ “การอุปสมบท” เป็นพระของพระพลชัย ถาวโร ว่า อุปสมบทเมื่อวันที่ 27 ก.พ.2545 วัดมหาชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม

นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่ม ที่ระบุไม่ตรงกันในการย้ายสังกัดวัดด้วย โดยเล่มแรกระบุว่า ได้ย้ายสังกัดจากวัดหัวเขา ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ไปสังกัดวัด “ธุดงคสถานวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ)” ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี “วันที่ 1 มกราคม 2553”

ขณะที่เล่ม 2 ระบุว่า ได้ย้ายสังกัดจากวัดนาควิชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ไปสังกัด “วัดธรรมปัญญา” ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก “วันที่ 1 กรกฎาคม 2552” และทางวัดธรรมปัญญา รับเข้าสังกัด “วันที่ 26 มีนาคม 2553” ตลอดจนการระบุชื่อในหนังสือทั้ง 2 เล่มก็ต่างกัน โดยบางเล่มระบุ “พระพลชัย” ขณะที่อีกเล่มระบุชื่อ “พระมหาพลชัย”

จากการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยังพบอีกว่า “นายพลชัย อุ่นทรัพย์” เดิมชื่อนั้น “ด.ช.วันชัย อุ่นทรัพย์” เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2500 ปีระกา ที่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 6 ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่ล่าสุดจาก “นายวันชัย อุ่นทรัพย์” เป็น “นายพลชัย อุ่นทรัพย์” เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2548 และทำบัตรประชาชนใหม่ในวันเดียวกันที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

ต่อมา ได้ย้ายชื่อไปอยู่ที่ “วัดสันติวิเศษสุข” (วัดเจ้าเงาะ) หรือ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” เลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี และทำบัตรประชาชนครั้งสุดท้ายที่ “อำเภอเมืองปราจีนบุรี” วันที่ 2 ก.ค.56

“ดังนั้น จึงชัดเจนแน่นอนว่าหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มที่พระพลชัย ถืออยู่เป็นของปลอมแน่นอน และลายเซ็นของพระผู้ใหญ๋ในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มดังกล่าวก็น่าจะเป็นลายเซ็นปลอมด้วยเช่นกัน” แหล่งข่าวกล่าว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา พระพลชัย ได้นำหนังสือสุทธิเล่มใหม่อีกเล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่ 3 ไปให้พระครูจันทวรกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเนินดินแดง ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 ซึ่งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสินติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เซ็นรับเข้าสังกัด และแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

แต่จากการตรวจสอบพบว่า หนังสือสุทธิเล่มที่ 3 นี้เป็นการปลอมขึ้นมา โดยมีการเขียนด้วยน้ำหมึก 2 สี คือ สีดำ กับ สีน้ำเงิน และเปลี่ยนชื่อใหม่จาก พระพลชัย กลับมาใช้ชื่อเดิม พระวันชัย แต่ถูกทางเจ้าคณะตำบลบ้านพระปฏิเสธ ซึ่งทางพระพลชัย บอกต่อเจ้าคณะตำบลบ้านพระว่า จะกลับไปเขียนมาใหม่ให้ถูกต้อง

**เป็นทั้งสมุน “ภาวนาพุทโธ-ธรรมกาย”

นอกจากนี้ พระพลชัย ยังเคยเป็นแกนนำเคลื่อนไหวทำเรื่องเพื่อยื่นประกันตัวให้แก่ “ภาวนาพุธโธ” สมีคนดังที่ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีข่มขืนเด็กสาวชาวเขามาก่อน

และเมื่อช่วงต้นปลายปี 2542 ถึงต้นปี 2543 ก็เคยเป็นแกนนำร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย พาพระสงฆ์ร่วม 200 รูป ออกมาเคลื่อนไหวเข้ายื่นหนังสือกดดันให้ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในขณะนั้นให้สั่งการถึงกรมการศาสนา ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม นำเรื่องเสนอมหาเถรสมาคม เพื่อทบทวนคำสั่งที่ให้พระพรหมโมลี ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 หากไม่ทบทวนจะระดมพระวิป้สสนากรรมฐานมาประท้วงเป็นหมื่นๆ รูป

อีกทั้งยังเคยออกมาพูดจาจาบจ้วงเกี่ยวกับลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช หาว่าเป็นลายพระหัตถ์ปลอมด้วย

ทั้งหมดนี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “สมีพลชัย” ที่ชาวพุทธทั้งหลายควรที่จะใช้ปัญญาในการพิจารณาว่า “พระแท้” กับ “พระไม่แท้” นั้นเป็นอย่างไร และเรื่องนี้ทางมหาเถรสมาคม (มส.) สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ไม่ควรนิ่งเฉย “ปล่อยคนชั่วลอยนวล”
กลับมาบวชใหม่เมื่อปี 2545 โดยเปลี่ยนชื่อจาก พระวันชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) เป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์)
อีกหนึ่งบทบาทของพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข หลังจากที่ถูกจับสึกและกลับมาบวชเป็นพระใหม่อีกครั้ง ในภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา


 วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่ร่วม 100 ไร่ที่พระพลชัย ถาวโร หรืออดีตพระวันชัย ถาวโร เข้าไปอยู่เมื่อปี 2553 และพยายามจะยึดวัดนี้ด้วยการตั้งตนขึ้นเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข
แม้ในหนังสือสวดมนต์ ก็ยังแอบอ้างว่าเป็น พระมหา ดร.พลชัย ทั้งที่ ๆ ไม่ได้เป็น มหา และได้เป็น ดอกเตอร์ จากที่ไหนมาก่อน
หนังสือสุทธิ 2 เล่มที่พระวันชัย หรือพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) ถืออยู่ คาดว่าเป็นของปลอม

กำลังโหลดความคิดเห็น