xs
xsm
sm
md
lg

แกะรอย “สมีพลชัย” บุกยึด “วัดเจ้าเงาะ” หวังฮุบที่ดิน 100 ไร่ “หลวงปู่เที่ยง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เผยเส้นทาง “สมีพลชัย” บุกเข้ายึด “วัดเจ้าเงาะ” หวังฮุบสมบัติของ “หลวงปู่เที่ยง” ที่ดินร่วม 100 ไร่ ที่หลวงปู่เที่ยงสร้างไว้เพื่อให้เป็นมรดกของศาสนา เจ้าตัวเผยเอง “เจ้าคณะภาค 12 พระพรหมสุธี” ที่มีความสนิทสนมกันก็เคยไปที่ “วัดเจ้าเงาะ” บ่อยครั้ง และมีโครงการที่จะให้ตนเองสร้างโบสถ์ เมรุ เจดีย์ ศาลาการเปรียญ และโรงเรียนปริยัติธรรม

หลังจาก “ASTVผู้จัดการ” ได้รับร้องเรียนว่า พบพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่แต่งชุดนายทหารยศ “ผู้พัน” ขับรถยนต์หรูพาสีกาไปนอนกกที่บ้านบางบัวทอง จ.นนทบุรี จนถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯ บุกเข้าจับกุม และจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (พระมหานิยม ฐานิสฺสโร) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ในขณะนั้นตามจับตัว แต่ตอนนี้ “พระอลัชชีมาเฟีย” ผู้นี้ได้แอบกลับมาบวชเป็นพระใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อจาก “พระวันชัย ถาวโร” มาเป็น “พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร” นั่งฉันข้าวร่วมวงกับพระเถระผู้ใหญ่ และเข้าไปทำกิจกรรมในทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่เกรงกลัวต่อความผิดที่ตนเองเคยกระทำไว้ ปัจจุบันพระอลัชชีมาเฟียผู้นี้ ได้เข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่ปี 2553 และพยายามที่จะยึดสมบัติของวัด ซึ่งมีที่ดินร่วม 100 ไร่ และทรัพย์สินของเก่ามากมายที่พระครูวิเศษพัฒนคุณ (พ่อเที่ยง ผาสุโก) ได้บุกเบิก และก่อตั้งมา หลังจากที่หลวงปู่เที่ยง ได้มรณภาพแล้วเมื่อปี 2554

ต่อมา “ทีมเฉพาะกิจ ASTVผู้จัดการ” ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบวัดเจ้าเงาะ ตั้งอยู่ที่เลขที่ 26/52 หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ในเนื้อที่ร่วม 100 ไร่ เดิมเป้นที่พักสงฆ์ “ธุดงคสถานวิเศษสุข” โดยที่ดินทั้งหมดจากการตรวจสอบหลักฐานพบว่า หลวงปู่เที่ยง เป็นผู้ซื่้้้้อไว้ทั้งหมด 12 แปลง โดยทยอยซื้อที่ละแปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ มีที่ดินฝั่งที่จัดตั้งวัดประมาณ 90 ไร่ ฝั่งตรงข้ามวัดประมาณ 5 ไร่ โดยมีพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร ตั้งตนเป็นประธานเจ้าสำนักฯ

สำหรับที่พักสงฆ์ธุดงคสถานวิเศษสุข แห่งนี้เพิ่งได้รับอนุญาตให้สร้างวัดชื่อวัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2555 โดยหลวงปู่เที่ยง เป็นผู้บุกเบิก หลังจากได้จากวัดบางแตน ต.บางตอน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดเพื่อเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองไทย ด้วยจิตใจศรัทธาในพระพุทธศาสนาจวบจนกระทั่งหลวงปู่เที่ยง ได้มาพบสถานที่แห่งนี้ใน จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะในการปฏิบัติธรรมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน และตั้งใจพัฒนาสถานที่แห่งนี้ขึ้นเป็นธรรมสถาน และต้องการให้เป็นวัดประจำพื้นที่หมู่ 15 ต.บ้านพระ อ.เมืองปราจีนบุรี

โดยหลวงปู่เที่ยง ได้มอบหมายให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดนายปัญญา บำรุงวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านพระ อ.เมืองปราจีนบุรี เป็นผู้ดำเนินการเดินเรื่องขอจัดตั้งเป็นวัดบนเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ ส่วนที่เหลือหลวงปู่เที่ยง ปรารถนาที่จะให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมมรดกของศาสนา

เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2554 ทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี จึงได้แต่งตั้งพระครูจันทวรกิจจาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเนินดินแดง และเจ้าคณะตำบลบ้านพระ เขต 2 อ.เมืองปราจีนบุรี ขึ้นรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข

**“สมีพลชัย” ยึด “สมบัติ-ที่ดินวัดเจ้าเงาะ”

หลังจากนั้นความวุ่นวายภายในวัดนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อ “พระมหา ดร.พลชัย” ผู้ที่เคยถูกกองปราบฯ บุกเข้าจับกุม และจับสึกเนื่องจากต้องอาบัติปาราชิก เมื่อปี 2543 และได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่เพิ่งจะเข้ามาอยู่วัดเจ้าเงาะ เมื่อปี 2553 ได้ตั้งตนขึ้นเป็นประธานฝ่ายสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข (เจ้าเงาะ) เพื่อยึดวัดแห่งนี้และพยายามที่จะ “ฮุบ” ทั้งที่ดิน และทรัพย์สินของวัดมาเป็นของตนเองทั้งหมด โดยอ้างว่า “ได้รับมรดกและหลวงปู่เที่ยงได้ทำพินัยกรรมให้แก่ตนเป็นผู้ดูแล”

พร้อมกับอ้างว่า ได้รับหนังสือมอบหมายอำนาจจากพระครูโกศลถาวรกิจ เจ้าอาวาสวัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปรารีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดของหลวงปู่เที่ยง ให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลและทรัพย์สินวัดสันติเศษสุข พร้อมกับโวยวายไปยังเจ้าคณะตำบลบ้านพระ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุขว่า “เหตุใดจึงไม่รับตนเข้าสังกัด และแต่งตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ”

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า สาเหตุที่เจ้าคณะตำบลบ้านพระ ไม่รับพระพลชัย เข้าสังกัดและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเงาะ เพราะได้ตรวจสอบพบว่า พระพลชัย หรือพระวันชัย ผู้นี้เคยตกเป็นข่าวฮื้อฉาว และเคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543 ซึ่งทางคณะสงฆ์ใน จ.ปราจีนบุรี ก็ได้มีการตรวจสอบพบหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่า “พระพลชัย หรือพระวันชัย” นั้นเป็นคนเดียวกัน หลังถูกจับสึกแล้วได้กลับแอบมาบวชใหม่ อีกทั้งยังถือหนังสือสุทธิ 2 เล่ม และจากการตรวจสอบหนังสือสิทธิทั้ง 2 เล่มก็เข้าข่ายเป็น “เอกสารปลอม”

นอกจากนี้ พระพลชัย มักจะอ้างว่า รู้จัก และสนิทสนมกับพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศฯ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับคำสั่งและมอบหมายจากพระพรหมสุธี ให้เข้ามาดูแลสถานที่วัดเจ้าเงาะแห่งนี้ และพระพรหมสุธี ก็เคยเดินทางมาที่วัดเจ้าเงาะนี้หลายครั้ง

ครั้งหนึ่งทางคณะสงฆ์ จ.ปราจีนบุรี และวัดต้นสังกัด คือ วัดบางแตน พร้อมเจ้าคณะตำบลบ้านพระ ได้เข้าไปที่วัดเจ้าเงาะ เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ เนื่องจากพระพลชัย ไม่ยอมให้มีการเข้าตรวจสอบทรัพย์สิน และเคยมีการเข้าไปสอบสวนและประวัติของพระพลชัย ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เคยถูกดำเนินคดี จนตัวเองต้องหลบหนีหายหน้าไปร่วม 10 ปี แล้วมาโผล่ที่วัดเจ้าเงาะว่า ช่วงนั้นไปอยู่ที่ใด และมาอยู่ที่วัดเจ้าเงาะได้อย่างไร

แทนที่พระพลชัย จะชี้แจงและยอมรับความจริง แต่กลับโวยวายและแสดงอำนาจบารมีของตนเองขึ้นมา โดยอ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากเจ้าคณะภาค 12 พร้อมกับกดหมายเลขโทรศัพท์ถึงพระพรหมสุธี ให้คณะสงฆ์ที่เข้าไปสอบสวนดู แล้วส่งโทรศัพท์ให้คณะพระที่เข้าไปสอบสวนพูดสายกับพระพรหมสุธี ด้วย แต่ไม่มีใครพูด หลังจากนั้นพระพลชัย ก็มักจะอ้างชื่อพระผู้ใหญ่องค์นี้อยู่ตลอดจนคณะสงฆ์ใน จ.ปราจีนบุรี ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง

**ผุดโครงการหรูตบตาชาวพุทธหวังดูดทรัพย์

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทรัพย์สินภายในวัดที่หลวงปู่เที่ยง ได้สะสมเอาไว้ตั้งแต่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ ซึ่งเป็นของเก่าทั้งพระพุทธรูป ตู้ไม้สัก โต๊ะ เก้าอี้ไม้ ขณะนี้ได้เริ่มสูญหายไปบ้างแล้ว โดยทรัพย์สินทั้งหมดนี้หลวงปู่เที่ยง จะเก็บเรียงไว้ที่บนศาลาชั้น 2 ซึ่งที่ผ่านมา ประชาชนที่ไปทำบุญที่วัดนี้ สามารถเข้าไปกราบไหว้ และชมได้อย่างเปิดเผย แต่พอหลังจากหลวงปู่เที่ยงมรณภาพแล้วประตูศาลาก็มักจะถูกปิดตาย หากใครจะเข้าไปต้องได้รับอนุญาตก่อน

ส่วนที่ดินทั้งหมด 12 แปลง ที่หลวงปู่เที่ยง ทยอยซื้อไว้เพื่อสร้างวัด และสถานปฏิบัติธรรมนั้นพบว่า โฉนดที่ดินหายไป 2 โฉนด ส่วนที่เหลือ 10 โฉนดอยู่ในความดูแลของวันต้นสังกัด คือ วัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ส่วนที่หายไป 2 โฉนดนั้นทางวัดต้นสังกัดได้ทำเรื่องแจ้งหายเพื่อขอออกโฉนดฉบับใหม่แล้ว แต่ขณะนี้ทางที่ดินจังหวัดยังไม่ได้มีการออกโฉนดใหม่ให้แต่อย่างใด เนื่องจากถูกทางฝ่ายตรงกันข้ามคัดค้าน

สำหรับที่ดิน 5 ไร่ ที่อยู่ตรงข้ามกับวัดเจ้าเงาะ จากการตรวจสอบพบว่า เดิมหลวงปู่เที่ยง ได้ซื่อไว้กับโยมท่านหนึ่ง แต่ยังจ่ายเงินไม่ครบ และท่านได้มรณภาพไปก่อน เมื่อพระพลชัย เข้าไปอยู่ก็ได้เอาโฉนดที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตน โดยอ้างว่าเป็นผู้ซื้อมาเองเมื่อช่วงปี 2554 ในราคา 5,500,000 บาท

ส่วนที่ดินฝั่งที่อยู่วัดประมาณ 90 ไร่ นั้นครั้งแรกพระพลชัย บอกว่าเดิมที่ดินฝั่งนี้มีประมาณ 80 กว่าไร่ แต่ตนมาซื้อเพิ่มอีก 8 ไร่ ในราคา 9,000,000 บาท แต่พอถูกถามว่าไปเอาเงินมาจากไหน พระพลชัย ก็รีบบ่ายเบี่ยงพูดใหม่ว่า “ที่ดินทั้งหมดฝั่งวัดนี้ 90 ไร่นี้หลวงปู่เที่ยง เป็นผู้สื่อไว้ทั้งหมด โดยซื้อมาด้วยเงินของหลวงปู่เที่ยง ที่ได้รับริจาค และการจัดสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคล “เจ้าเงาะมหาลาภ” โดยตอนซื้อหลวงปู่ เอาเงินใส่กล่องกระดาษมาเลย 30 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินทั้งหมด"

สำหรับที่ดินประมาณ 90 ไร่นี้ พระพลชัย อ้างว่า นอกจากพระพรหมสุธี เจ้าคณะภาค 12 มีโครงการที่จะให้สร้าง 1.พระอุโบสถ์ 2.โรงเรียนปริยัติธรรม 3.วิหาร หรือศาลาการเปรียญ 4.พระเจดีย์ และ 5.เมรุ แล้ว ยังมีโครงการจะให้ก่อสร้างห้องกุฏิวิปัสสนา 40 ห้อง งบประมาณห้องละ 50,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีเจ้าภาพสร้างแล้วกว่า 30 ห้อง เหลืออีกประมาณ 10 ห้อง ยังไม่มีเจ้าภาพ ห้องน้ำ-ห้องสุขา 40 ห้อง ห้องละ 15,000 บาท ในส่วนนี้มีเจ้าภาพเกินแล้ว และกำแพงวัดอีก 150 ช่อง ช่องละ 5,000 บาทขณะนี้ยังมีเจ้าภาพไม่มากด้วย

จากการตรวจสอบทั้งเรื่องที่พระพลชัยอ้างว่า ได้รับมรดก และพินัยกรรมจากหลวงปู่เที่ยง ให้เป็นผู้บริหารจัดการเรื่องที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดภายในวัดเจ้าเงาะ และอ้างว่ามีความสนิทสนมกับพระพรหมสุธี ซึ่งได้มอบหมายให้มาดูแลวัดเจ้าเงาะ ตลอดจนมีการก่อสร้างโครงการหรูต่างๆ ขึ้นมานั้นเป็นการแอบอ้างทั้งสิ้น ซึ่งมีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างไปจาก “ไอ้คำ” นายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่อวดอ้างตนเป็นพระอริยะ และอุปโลกน์เรื่องราวขึ้นมาต้มตุ่นหลวงสาธุชนแต่อย่างใด

**ศิษย์ยัน “ปู่เที่ยง” ไม่ได้ยกที่ดินให้เดียรถีย์

โดยเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2556 ทางวัดบางแตน ต.บางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดของหลวงปู่เที่ยง ได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมกับแนบเอกสารโฉนดที่ดินหลวงปู่เที่ยง รวม 10 แปลง (หาย 2 แปลง) โดยยืนยันว่า “หลวงปู่เที่ยง สังกัดอยู่วัดบางแตน หลังจากได้มรณภาพลงแล้วไม่ได้ปลงบริขารทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด”

นายธวัฒน์ แท่นทอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องพระพลชัย หรือพระวันชัย เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่จะเข้าไปดำเนินการกันเอง แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เคยถูกจับสึกมาแล้วเพราะต้องอาบัติปาราชิก เมื่อปี 2543 แล้วกลับมาบวชเป็นพระใหม่

สำหรับเรื่องที่ดินของวัดเจ้าเงาะ หรือวัดใดก็ตามที่ไม่ใช่วัดเจ้าเงาะ ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อพระสงฆ์ที่ซื้อที่ดินไว้มรณภาพลง ที่ดินทั้งหมดจะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัด จะตกเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ และหลวงปู่เที่ยง มีต้นสังกัดอยู่ที่วัดบางแตน ดังนั้น เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพลง ที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดในวัดเจ้าเงาะ ก็จะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัดทันทีคือ วัดบางแตน

“ยกเว้นแต่จะมีการทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ใครหรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่า หลวงปู่เที่ยง ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ผู้ใด ดังนั้น ทางวัดบางแตน จึงมีสิทธิเต็มที่ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ดำเนินการ และดูแลทรัพย์สินภายในวัดเจ้าเงาะ ทั้งหมด” นายธวัฒน์ กล่าว

ด้านนายปัญญา บำรุงวัด นายกเทศมนตรีตำบลบ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่เที่ยง ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดสันติวิเศษสุข หรือเจ้าเงาะ เปิดเผยว่า ตอนที่หลวงปู่ ยังไม่มรณภาพจะมีคนมาทำบุญกันมากไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดจะมากเป็นพิเศษ และชาวบ้านในย่านนี้ก็จะเข้าวัดไปทำบุญกับหลวงปู่ ตลอด แต่หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพ และมีพระองค์ใหม่เข้ามา ทราบว่าเคยถูกจับสึกมาก่อนและมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก็เห็นมีชาวบ้านไปทำบุญที่วัดกันอีกเลย จะมีก็น้อยมากต่างจากคราวที่หลวงปู่ยังไม่มรณภาพหน้ามือเป็นหลังมือ

“ผมเป็นคนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ ให้เป็นผู้ดำเนินการทำเรื่องขออนุญาตจัดสร้างวัดเองในเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ จนได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ส่วนที่ดินทั้งหมดนั้นหลวงปู่ จะทยอยซื้อจากชาวบ้านที่ต้องการจะขายให้แก่วัดทีละแปลง มากบ้างน้อยบ้างท่านจะซื้อมาเรื่อย ซึ่งได้ซื้อในคราวเดียวกันทั้งหมดแต่อย่างใด ส่วนที่มีการบอกว่าหลวงปู่ ทำพินัยกรรมยกให้แก่คนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันครับว่าไม่มีแน่นอน ถ้ามีผมก็ถือว่า คนที่รับพินัยกรรมนั้นเลวสุดๆ เพราะที่ดินทั้งหมดหลวงปุ่ ต้องการที่จะสร้างให้เป็นวัดประจำพื้นที่ และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมประจำตำบล ซึ่งหลวงปู่ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลวงปู่จะทำพินัยกรรมให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเป้นประโยชน์ของตนเอง”

พระครูโกศลถาวรกิจ เจ้าอาวาววัดบางแตน วัดต้นสังกัดหลวงปู่เที่ยง เปิดเผยว่า ทางวัดไม่ได้ปรารถนาเอาดินวัดเจ้าเงาะ ทั้งหมดมาเป็นของวัดแต่อย่างใด แต่เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพแล้วก็ตกเป็นหน้าที่ของทางวัดต้นสังกัดต้องเข้าไปดำเนินการ ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อความถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางวัดต้นสังกัดก็พร้อมที่จะยกที่ดินทั้งหมดให้เป็นสมบัติของวัดที่ดูแลอยู่ในพื้นที่ต่อไป

ส่วนที่มีการบอกว่า หลวงปู่เที่ยง ทำพินัยกรรมยกให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และก่อนที่หลวงปูเที่ยง จะมรณภาพท่านก็ได้บอกแก่พระทางวัดตอนที่อยู่โรงพยาบาลไว้แล้วว่า ให้ดำเนินการให้เป็นของสงฆ์ทั้งหมด เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสาธุชนต่อไป
วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่ร่วม 100 ไร่ที่พระพลชัย ถาวโร หรืออดีตพระวันชัย ถาวโร เข้าไปอยู่เมื่อปี 2553 และพยายามจะยึดวัดนี้ด้วยการตั้งตนขึ้นเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข
 บริเวณวัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านสร้าง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี

พระครูวิเศษพัฒนคุณ หรือหลวงพ่อเที่ยง ผาสุโก ผู้ก่อตั้งที่พักสงฆ์ ธุดงคสถานวิเศษสุข ก่อนที่จะมาเป็นวัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) มรณภาพเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554 สิริอายุกาล 71 ปี 51 พรรษา ก่อนที่พระพลชัย ถาวโร จะเข้าไปอยู่ในวัดนี้เมื่อปี 2553
อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร ที่ถูกกองปราบฯ บุกจับกุมและจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 ได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) ปัจจุบันตั้งตนเป้นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข (วัดเจ้าเงาะ) ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
แฟ้มภาพเหตุการณ์ช่วงที่พระพลชัย ถาวโร ในสมัยที่ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร และเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯบุกเข้าจับกุมขณะที่แต่ชุดนายทหารยศ ผู้พัน ขับรถหรู กกสีกาในบ้านบางบัวทอง และถูกจับสึกไปเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 ที่ผ่านมา

กำลังโหลดความคิดเห็น