ปราจีนบุรี - คณะสงฆ์ปราจีนบุรีขีดเส้นตาย "สมีโล้นพลชัย" หอบข้าวของออกจาก "วัดเจ้าเงาะ" หลังเจ้าคณะภาค 12 "เจ้าคุณเสนาะ" ยืนยันไม่ได้มอบหมายให้เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และไฟเขียวให้คณะสงฆ์ปราจีนบุรีจัดการได้ตามอำนาจหน้าที่ แฉหลังกลับมาบวชใหม่ "สมีโล้น" ยังมีพฤติกรรมแสวงหาเหมือนเดิม พบเดินเข้าออกทำเนียบฯ นั่งถ่ายรูป ร่วมกับ "ยิ่งลักษณ์" ขณะเข้าเฝ้าพระผู้ใหญ่ต่างประเทศหน้าตาเฉย จี้ "พศ."ฟัน 3 คดี "แต่งกายเลียนแบบสงฆ์-มีเอกสารและใช้เอกสารปลอม-ต้มตุ่นหลอกลวง"
วานนี้ (10 ก.ย.) พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีที่พระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบปรามบุกจับกุมคาชุดนายทหารยศ "พันเอก" ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเพราะต้องอาบัติปาราชิก เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร โดยมาอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เมื่อปี 2553 และได้พยายามที่จะยึดทรัพย์สมบัติรวมทั้งที่ดินของวัดหลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554
โดยพระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า การที่พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร จะให้ทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีรับเข้าเป็นพระในสังกัดและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข โดยที่ทางพระมหา ดร.พลชัย มอบหมายให้ทางทนายความไปยื่นคำขอร้องต่อศาลให้แต่งตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าอาวาสและเป็นผู้จัดการมรดกของหลวงุ่เที่ยง นั้น ขณะนี้ทางเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลในพื้นที่รับผิดชอบ กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่าจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากทราบประวัติของพระมหา ดร.พลชัย มาว่าเคยถูกจับสึกมาก่อน
ส่วนการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข นั้น คงจะแต่งตั้งยังไม่ได้ เพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรียังไม่ได้มีการรับพระมหา ดร.พลชัย เข้าเป้็นพระในสังกัดวัดสันติวิเศษสุข
เมื่อถามว่าท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ได้มีคำสั่งหรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับพระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ตอบว่า ขณะนี้ทางคณะสงฆ์กำลังปรึกษากันอยู่ และทางเจ้าคณะอำเภอ และตำบลก็กำลังดำเนินการอยู่
ด้านแหล่งข่าวจากคณะสงฆ์ในจังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 ได้ออกมายืนยันว่าไม่ได้มีคำสั่งหรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับพระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที ทางพระคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะทางเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ ได้มีความเห็นในเบื้องต้นว่าจะให้เวลาพระมหา ดร.พลชัย ในการย้ายออกจากพื้นที่ แต่ถ้าหากยังคงดื้อดึงที่จะยังอยู่ในวัดเจ้าเงาะ ต่อไป ก้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพระมหา ดร.พลชัย
**โผล่ทำเนียบฯ-ถ่ายรูปกับ"ยิ่งลักษณ์"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติกรรมของพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร หลังจากแอบกลับมาบวชใหม่ก็ได้ข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ โดยตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข หลังจากนั้นก็ได้กลับมาใช้พฤติกรรมเดิมๆ ในการหลอกลวงพระสงฆ์ไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดียแล้วปล่อยทิ้งไว้ที่ประเทศอินเดีย รวมทั้งมีพฤติกรรมหลอกลวงสาธุชนที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น การเช่าเวลาสถานีวิทยุออกอากาศเชิญชวนญาติโยมให้ไปทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ห้องน้ำ และศาลาการเปรียญ รวมทั้งเชิญชวนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ทุกวันเสาร์ที่วัดเจ้าเงาะ โดยออกอากาศ 4 สถานีด้วยในกรุงเทพฯ 2 สถานี จ.ปราจีนบุรี 2 สถานี ใช้ชื่อรายการ "ธุงคงค์วัตร" โดยเสียค่าเช่าเวลาทั้งหมด 4 สถานีเป็นเงิน 190,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ พระมหา ดร.พลชัย หลังจากกลับมาบวชใหม่ก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย โดยที่ทางพระเถระผู้ใหญ่ และสำนักพระพุทธศาสนา ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ๆ รู้ว่า พระมหา ดร.พลชัย เคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543 อีกทั้งยังพบว่า พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ยังเดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาล นั่งฉันอาหารร่วมกับพระผู้ใหญ่อย่างเปิดเผยด้วย
โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา พบเห็นพระมหา ดร.พลชัย พร้อมพระมหา ดร.วิชัย ปุญญกาโม ประธานสงฆ์วัดขุนจันทร์ ได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ประเทศไทย พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนาและภาคประชาสังคมได้ไปนั่งร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาลหลังจากได้หารือกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐนตรี ได้มีความเห็นดำเนินโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์และเป็นสิริมงคลแก่ประเทศไทยในวันที่ 26 มิ.ย.56 ระหว่างเวลา 14.22-15.22 น. ที่วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
อีกทั้งยังพบว่าช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ก็ได้นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย โดยภาพดังกล่าวพระมหา ดร.พลชัย ได้มีการใส่กรอบตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อโชว์ให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง
**จี้ พศ.ฟัน3ข้อหา "สมีโล้นพลชัย"
แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบชัดเจนแล้วว่า ที่พระพลชัย ถาวโร การแอบอ้างว่าเป็น "พระมหา ดร." นั้น ความจริงแล้วไม่ได้เป็น "มหา" แต่อย่างใด โดยมีการพิมพ์ชื่อตนเองลงในหนังสือสวดมนต์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีศรัทธาหลงเชื่อว่าตนเองเป็นพระมหา เท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นมหา หรือเคยไปสอบเรียนได้มหาเปรียญที่วัดไหนมาก่อน ซึ่งคำว่า "พระมหา" ผู้ที่ได้มาจะต้องสอบได้เปรียญธรรม 3-4 ประโยคขึ้นไปและจะต้องได้รับพระราชทาน ดังนั้น การแอบอ้างในลักษณะดังกล่าวจึงเข้าข่ายผิดกฏหมายชัดเจน
ส่วนคำว่า "ดอกเตอร์" นั้นจากการตรวจสอบแล้วก็ไม่เคยพบว่าได้ไปเรียนหรือได้รับเกียรติบัตรให้เป็น ดอกเตอร์จากที่ไหนและมหาวิทยาลัยใดมาก่อน ซึ่งก็เข้าข่ายผิดกฎหมายต้มตุ๋นหลอกลวงให้คนหลงเชื้อเช่นกัน
รวมทั้งการถือหนังสุทธิ 2 เล่มซึ่งมีการกรอกรายละเอียดข้อมูลสลับกันไปมาระหว่างเล่มเก่ากับเล่มใหม่ กล่าวคือมีการเอาข้อมูลการบวชพระครั้งแรก เมื่อปี 2520 มาเขียนลงในหนังสือสุทธิเล่มใหม่ที่เพิ่งจะมีการนำมาใช้เมื่อช่วงหลังปี 2540 เป็นต้นมาแล้วเอาข้อมูลการบวชใหม่ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545 ไปกรอกลงในหนังสือสุทธิแบบเก่า และ 1 ใน 2 เล่มนี้ก็มีการระบุชื่อว่า "พระมหาพลชัย ถาวโร" ขณะที่อีกเล่มระบุชื่อ "พระพลชัย ถาวโร" โดยมีการกรอกชื่อคำว่า "พลชัย" นี้ลงในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มตั้งแต่มีการบวชเป็นสามเณร เมื่อปี 2517 จนบวชเป็นพระครั้งแรกเมื่อปี 2520 จนกระทั่งบวชเป้นพระครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545
แต่จากการตรวจสอบพบว่า "สมีพลชัย" นี้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก "วันชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร)" เป็น "พลชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 ไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้น เท่ากับว่า สมีพลชัย นี้ใช้เอกสารปลอมมาโดยตลอด
"เอกสารชัดเจนขนาดนี้แล้วทางสำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) ยังจะมาบอกว่ายังไม่มีข้อมูลหลักฐานและยังจะต้องไปควานหาข้อมูลหลักฐานอยู่อีกหรือ ที่ผ่านมาสำนักพระพุทธศาสนาลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและมักจะดองเรื่องมาโดยตลอด ดดยไม่ทำอะรเลย แถมยังปล่อยให้คนชั่วที่ไม่ได้เป็นพระแล้วกลับมาทำตนเป็นพรหลอกลวงญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาอยู่อีกได้อย่างไร และที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่าพระพลชัย หรือวันชัย ไม่ใช่พระแล้ว และเมื่อกลับมาบวชใหม่ก็เห้นนั่งร่วมวงฉันข้าวกับพระผู้ใหญ่หน้าตาเฉย แถมพระผู้ใหญ่เองก็รู้อยุ่แก่ใจแต่กลับนิ่งเฉยไปด้วย"
แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ กล่าวอีกว่า ถ้าสำนักพระพุทธศาสนายังเป็นชาวพุทธที่แท้จริงอยู่ ก็ควรที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ และควรที่จะดำเนินคดีกับคนนี้ 1 ฐานมีเอกสารและใช้เอกสารปลอม 2 แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และ 3 ต้มตุ่นหลอกลวงและฉ้อโกง
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระมหา ดร.พลชัยว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่าหากพระมหาพลชัย ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแล้วจะนำทรัพย์สินของวัดไปหมดนั้นขอยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เพราะทรัพย์สินต้องตกเป็นของวัด พร้อมกันนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการวัดเข้ามาบริหาร ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปเป็นของส่วนตัวได้ ส่วนพระมหาพลชัย จะได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสหรือไม่นั้นเป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ที่จะเป็นผู้พิจารณา
ทางด้านพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 นั้น พระพรหมสุธี กล่าวกรณีที่พระมหาพลชัย อ้างว่าสนิทกับเจ้าคณะภาค 12 ว่า รู้จักพระมหาพลชัย แต่เป็นการรู้จักแบบรู้จักคนทั่วๆ ไปเท่านั้น ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษ
วานนี้ (10 ก.ย.) พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวถึงกรณีที่พระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบปรามบุกจับกุมคาชุดนายทหารยศ "พันเอก" ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเพราะต้องอาบัติปาราชิก เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 และได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร โดยมาอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เมื่อปี 2553 และได้พยายามที่จะยึดทรัพย์สมบัติรวมทั้งที่ดินของวัดหลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554
โดยพระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า การที่พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร จะให้ทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรีรับเข้าเป็นพระในสังกัดและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข โดยที่ทางพระมหา ดร.พลชัย มอบหมายให้ทางทนายความไปยื่นคำขอร้องต่อศาลให้แต่งตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าอาวาสและเป็นผู้จัดการมรดกของหลวงุ่เที่ยง นั้น ขณะนี้ทางเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลในพื้นที่รับผิดชอบ กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่าจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป เนื่องจากทราบประวัติของพระมหา ดร.พลชัย มาว่าเคยถูกจับสึกมาก่อน
ส่วนการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข นั้น คงจะแต่งตั้งยังไม่ได้ เพราะทางคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรียังไม่ได้มีการรับพระมหา ดร.พลชัย เข้าเป้็นพระในสังกัดวัดสันติวิเศษสุข
เมื่อถามว่าท่านจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ไม่ได้มีคำสั่งหรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับพระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที พระราชภัทรธาดา เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ตอบว่า ขณะนี้ทางคณะสงฆ์กำลังปรึกษากันอยู่ และทางเจ้าคณะอำเภอ และตำบลก็กำลังดำเนินการอยู่
ด้านแหล่งข่าวจากคณะสงฆ์ในจังหวัดปราจีนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 ได้ออกมายืนยันว่าไม่ได้มีคำสั่งหรือมอบหมายให้พระมหา ดร.พลชัย เข้าไปดูแลวัดเจ้าเงาะ และทางคณะจังหวัดปราจีนบุรีมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการกับพระมหา ดร.พลชัย ได้ทันที ทางพระคณะสงฆ์จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะทางเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ ได้มีความเห็นในเบื้องต้นว่าจะให้เวลาพระมหา ดร.พลชัย ในการย้ายออกจากพื้นที่ แต่ถ้าหากยังคงดื้อดึงที่จะยังอยู่ในวัดเจ้าเงาะ ต่อไป ก้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพระมหา ดร.พลชัย
**โผล่ทำเนียบฯ-ถ่ายรูปกับ"ยิ่งลักษณ์"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติกรรมของพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร หลังจากแอบกลับมาบวชใหม่ก็ได้ข้าไปอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ โดยตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานสงฆ์วัดสันติวิเศษสุข หลังจากนั้นก็ได้กลับมาใช้พฤติกรรมเดิมๆ ในการหลอกลวงพระสงฆ์ไปธุดงค์ตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่ประเทศอินเดียแล้วปล่อยทิ้งไว้ที่ประเทศอินเดีย รวมทั้งมีพฤติกรรมหลอกลวงสาธุชนที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ
เช่น การเช่าเวลาสถานีวิทยุออกอากาศเชิญชวนญาติโยมให้ไปทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร ห้องน้ำ และศาลาการเปรียญ รวมทั้งเชิญชวนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ทุกวันเสาร์ที่วัดเจ้าเงาะ โดยออกอากาศ 4 สถานีด้วยในกรุงเทพฯ 2 สถานี จ.ปราจีนบุรี 2 สถานี ใช้ชื่อรายการ "ธุงคงค์วัตร" โดยเสียค่าเช่าเวลาทั้งหมด 4 สถานีเป็นเงิน 190,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ พระมหา ดร.พลชัย หลังจากกลับมาบวชใหม่ก็ยังเดินลอยหน้าลอยตาไปไหนมาไหนได้อย่างสบาย โดยที่ทางพระเถระผู้ใหญ่ และสำนักพระพุทธศาสนา ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ๆ รู้ว่า พระมหา ดร.พลชัย เคยถูกจับสึกมาแล้วเมื่อปี 2543 อีกทั้งยังพบว่า พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ยังเดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาล นั่งฉันอาหารร่วมกับพระผู้ใหญ่อย่างเปิดเผยด้วย
โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56 ที่ผ่านมา พบเห็นพระมหา ดร.พลชัย พร้อมพระมหา ดร.วิชัย ปุญญกาโม ประธานสงฆ์วัดขุนจันทร์ ได้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์ประเทศไทย พร้อมผู้นำเครือข่ายองค์กรชาวนาและภาคประชาสังคมได้ไปนั่งร่วมกันแถลงข่าวที่ตึกนารีสโสมร ทำเนียบรัฐบาลหลังจากได้หารือกับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐนตรี ได้มีความเห็นดำเนินโครงการเจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างความสมานฉันท์และเป็นสิริมงคลแก่ประเทศไทยในวันที่ 26 มิ.ย.56 ระหว่างเวลา 14.22-15.22 น. ที่วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
อีกทั้งยังพบว่าช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ากราบนัมสการสมเด็จพระสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา พระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ก็ได้นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย โดยภาพดังกล่าวพระมหา ดร.พลชัย ได้มีการใส่กรอบตั้งโชว์ไว้ภายในวัดเจ้าเงาะ เพื่อโชว์ให้ผู้ที่มาทำบุญได้เห็นถึงบารมีของตนเอง
**จี้ พศ.ฟัน3ข้อหา "สมีโล้นพลชัย"
แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบชัดเจนแล้วว่า ที่พระพลชัย ถาวโร การแอบอ้างว่าเป็น "พระมหา ดร." นั้น ความจริงแล้วไม่ได้เป็น "มหา" แต่อย่างใด โดยมีการพิมพ์ชื่อตนเองลงในหนังสือสวดมนต์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีศรัทธาหลงเชื่อว่าตนเองเป็นพระมหา เท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นมหา หรือเคยไปสอบเรียนได้มหาเปรียญที่วัดไหนมาก่อน ซึ่งคำว่า "พระมหา" ผู้ที่ได้มาจะต้องสอบได้เปรียญธรรม 3-4 ประโยคขึ้นไปและจะต้องได้รับพระราชทาน ดังนั้น การแอบอ้างในลักษณะดังกล่าวจึงเข้าข่ายผิดกฏหมายชัดเจน
ส่วนคำว่า "ดอกเตอร์" นั้นจากการตรวจสอบแล้วก็ไม่เคยพบว่าได้ไปเรียนหรือได้รับเกียรติบัตรให้เป็น ดอกเตอร์จากที่ไหนและมหาวิทยาลัยใดมาก่อน ซึ่งก็เข้าข่ายผิดกฎหมายต้มตุ๋นหลอกลวงให้คนหลงเชื้อเช่นกัน
รวมทั้งการถือหนังสุทธิ 2 เล่มซึ่งมีการกรอกรายละเอียดข้อมูลสลับกันไปมาระหว่างเล่มเก่ากับเล่มใหม่ กล่าวคือมีการเอาข้อมูลการบวชพระครั้งแรก เมื่อปี 2520 มาเขียนลงในหนังสือสุทธิเล่มใหม่ที่เพิ่งจะมีการนำมาใช้เมื่อช่วงหลังปี 2540 เป็นต้นมาแล้วเอาข้อมูลการบวชใหม่ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545 ไปกรอกลงในหนังสือสุทธิแบบเก่า และ 1 ใน 2 เล่มนี้ก็มีการระบุชื่อว่า "พระมหาพลชัย ถาวโร" ขณะที่อีกเล่มระบุชื่อ "พระพลชัย ถาวโร" โดยมีการกรอกชื่อคำว่า "พลชัย" นี้ลงในหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มตั้งแต่มีการบวชเป็นสามเณร เมื่อปี 2517 จนบวชเป็นพระครั้งแรกเมื่อปี 2520 จนกระทั่งบวชเป้นพระครั้งที่ 2 เมื่อปี 2545
แต่จากการตรวจสอบพบว่า "สมีพลชัย" นี้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่จาก "วันชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร)" เป็น "พลชัย อุ่นทรัพย์ (ถาวโร) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 ไม่กี่ปีมานี้เอง ดังนั้น เท่ากับว่า สมีพลชัย นี้ใช้เอกสารปลอมมาโดยตลอด
"เอกสารชัดเจนขนาดนี้แล้วทางสำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) ยังจะมาบอกว่ายังไม่มีข้อมูลหลักฐานและยังจะต้องไปควานหาข้อมูลหลักฐานอยู่อีกหรือ ที่ผ่านมาสำนักพระพุทธศาสนาลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและมักจะดองเรื่องมาโดยตลอด ดดยไม่ทำอะรเลย แถมยังปล่อยให้คนชั่วที่ไม่ได้เป็นพระแล้วกลับมาทำตนเป็นพรหลอกลวงญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาอยู่อีกได้อย่างไร และที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้วว่าพระพลชัย หรือวันชัย ไม่ใช่พระแล้ว และเมื่อกลับมาบวชใหม่ก็เห้นนั่งร่วมวงฉันข้าวกับพระผู้ใหญ่หน้าตาเฉย แถมพระผู้ใหญ่เองก็รู้อยุ่แก่ใจแต่กลับนิ่งเฉยไปด้วย"
แหล่งข่าวจากอดีตพระวินยาธิการ กล่าวอีกว่า ถ้าสำนักพระพุทธศาสนายังเป็นชาวพุทธที่แท้จริงอยู่ ก็ควรที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ และควรที่จะดำเนินคดีกับคนนี้ 1 ฐานมีเอกสารและใช้เอกสารปลอม 2 แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และ 3 ต้มตุ่นหลอกลวงและฉ้อโกง
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระมหา ดร.พลชัยว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่าหากพระมหาพลชัย ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแล้วจะนำทรัพย์สินของวัดไปหมดนั้นขอยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เพราะทรัพย์สินต้องตกเป็นของวัด พร้อมกันนี้จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการวัดเข้ามาบริหาร ไม่สามารถนำทรัพย์สินไปเป็นของส่วนตัวได้ ส่วนพระมหาพลชัย จะได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสหรือไม่นั้นเป็นอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ที่จะเป็นผู้พิจารณา
ทางด้านพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 นั้น พระพรหมสุธี กล่าวกรณีที่พระมหาพลชัย อ้างว่าสนิทกับเจ้าคณะภาค 12 ว่า รู้จักพระมหาพลชัย แต่เป็นการรู้จักแบบรู้จักคนทั่วๆ ไปเท่านั้น ไม่มีความสนิทเป็นพิเศษ