ปราจีนบุรี - “วัดเจ้าเงาะ” ปราจีนบุรีของ “หลวงปู่เที่ยง” เงียบเหงา หลัง “เดียรถีย์โล้น” อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ที่ถูกกองปราบฯ บุกจับกุมคาชุด “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสาวไปนอนที่บ้านพักย่านบางบัวทอง และถูกจับสึกเมื่อปี 43 กลับมาบวชใหม่เข้ายึดหวังฮุบทรัพย์สมบัติ และที่ดิน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด “หลวงปู่เที่ยง” ยันหลวงปู่ไม่เคยทำพินัยกรรมยกสมบัติที่ดินวัดให้แก่ใคร ลั่น “ถ้ามีผมก็ถือว่าคนที่รับพินัยกรรมนั้นเลวสุดๆ” ขณะที่ ผอ.สำนักพุทธฯ ชี้ตาม กม.ระบุชัดถ้าพระสงฆ์เจ้าของที่ดินมรณภาพสมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของวัดต้นสังกัด
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีพบพระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกเจ้าหน้าที่กองปราบปรามบุกจับกุมคาชุด “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 หลังจากนั้น ได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุด พบปรากฏตัวอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น พระมหา ดร.พลชัย ถาวโร และพยายามที่จะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัดเจ้าเงาะ หลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554 โดยพระมหา ดร.พลชัย ผู้นี้ได้เข้ามาอยู่ที่วัดนี้เมื่อประมาณปี 2553 ก่อนที่หลวงปู่เที่ยง จะมรณภาพลงเพียงปีเดียว
ล่าสุด วันนี้ (8 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในวัดเจ้าเงาะ เป็นไปอย่างเงียบเหงา หลังจากที่ “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้มีการนำเสนอข่าวพระมหา ดร.พลชัย ที่พยายามจะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัดเจ้าเงาะ โดยได้มอบอำนาจให้ นายวุฒิชัย รัตนสูรย์ ทนายความดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 4 ก.ค.56 ขออำนาจศาลให้มีคำสั่งแต่งตั้งพระมหาพลชัย ถาวดร (อุ่นทรัพย์) เป็นผู้จัดการมรดกของหลวงปู่เที่ยง โฉมเฉลา ซึ่งศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 4 ก.ย.56 ที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่า ศาลได้มีคำสั่งให้ทำการเลื่อนการไต่สวนตามคำร้องขอออกไปอีก เป็นวันที่ 24 ต.ค.56 เวลา 09.00 น. เนื่องจากทางศาลจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งมี นายนนทพัทธ์ อัศวก้องเกียรติ ผู้พิพากษาผู้รับฟ้อง และนายกิตติ เนตรประเสริฐชัย ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นว่า ผู้ร้องขอเข้ามาจัดการมรดกมีสิทธิในมรดกดังกล่าวหรือไม่ จึงควรมีการพิสูจน์หาผู้มีสิทธิที่แท้จริงในทรัพย์สินของหลวงปู่เที่ยงว่า เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่าน หรือเป็นทรัพย์สินของทางวัด โดยศาลจะมีคำสั่งเรียกไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ให้เข้ามาร่วมในคดีเพื่อไต่สวนพิสูจน์ว่าสำนักพุทธฯ นั้นมีส่วนในทรัพย์สินนี้ด้วยหรือไม่ และหากทรัพย์สินเป็นของฆราวาส หรือเป็นของส่วนตัวของหลวงปู่เที่ยง ก็ควรสืบหาทายาท หรือผู้มีสิทธิเข้ามาจัดการมรดกของท่านต่อไป
**ศิษย์ยันหลวงปู่ไม่เคยทำพินัยกรรมให้ใคร
นายปัญญา บำรุงวัด นายกเทศมนตรีตำบลบ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่เที่ยง ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ เปิดเผยว่า ตนเป็นคนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ ให้เป็นผู้ดำเนินการทำเรื่องขออนุญาตจัดสร้างวัดเองในเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ จนได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา
“ส่วนที่ดินทั้งหมดนั้นหลวงปู่ ได้ทยอยซื้อมาจากชาวบ้านที่ต้องการจะขายให้แก่วัดทีละแปลง มากบ้างน้อยบ้าง ส่วนที่มีการบอกว่าหลวงปู่ ทำพินัยกรรมยกให้แก่คนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันครับว่าไม่มีแน่นอน ถ้ามีผมก็ถือว่า คนที่รับพินัยกรรมนั้นเลวสุดๆ เพราะที่ดินทั้งหมดหลวงปุ่ ต้องการที่จะสร้างให้เป็นวัดประจำพื้นที่ และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมประจำตำบล ซึ่งหลวงปู่ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างนี้ ดังนั้น จึงเป้นไปไม่ได้เลยที่หลวงปู่จะทำพินัยกรรมให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งเพื่อเป็นประโยชน์ของตนเอง” นายปัญญา กล่าว
นายธวัฒน์ แท่นทอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า เรื่องพระมหา ดร.พลชัย เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่จะเข้าไปดำเนินการกันเอง แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เคยถูกจับสึกมาแล้วเพราะต้องอาบัติปาราชิกเมื่อปี 2543 แล้วกลับมาบวชเป็นพระใหม่
ส่วนเรื่องทรัพย์สิน และที่ดินของวัดเจ้าเงาะนั้น ตามกฎหมายแล้วไม่ว่าวัดใดก็ตาม ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อพระสงฆ์ที่ซื้อที่ดินไว้มรณภาพลงที่ดินทั้งหมดจะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัด จะตกเป็นของผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้ ส่วนที่ดินวัดเจ้าเงาะ หลวงปู่เที่ยง มีต้นสังกัดอยู่ที่วัดบางแตน ดังนั้น เมื่อหลวงปู่เที่ยง มรณภาพลง ที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดในวัดเจ้าเงาะ ก็จะต้องตกเป็นสมบัติของวัดต้นสังกัดทันที คือ วัดบางแตน
“ยกเว้นแต่จะมีการทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ใครหรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่า หลวงปู่เที่ยง ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกมรดกไว้ให้แก่ผู้ใด ดังนั้น ทางวัดบางแตน จึงมีสิทธิเต็มที่ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ดำเนินการ และดูแลทรัพย์สินภายในวัดเจ้าเงาะทั้งหมด” นายธวัฒน์ กล่าว
ทางด้านพระครูโกศลถาวรกิจ เจ้าอาวาววัดบางแตน อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี วัดต้นสังกัดหลวงปุ่เที่ยง เปิดเผยว่า ทางวัดไม่ได้ปรารถนาเอาดินวัดเจ้าเงาะ ทั้งหมดมาเป็นของวัดแต่อย่างใด แต่เมื่อหลวงปุ่เที่ยง มรณภาพแล้วก็ตกเป็นหน้าที่ของทางวัดต้นสังกัดต้องเข้าไปดำเนินการ ตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อความถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากทุกอย่างดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางวัดต้นสังกัดก็พร้อมที่จะยกที่ดินทั้งหมดให้เป็นสมบัติของวัดที่ดูแลอยู่ในพื้นที่ต่อไป
“ส่วนที่มีการบอกว่า หลวงปุ่เที่ยง ทำพินัยกรรมยกให้แก่ใครคนใดคนหนึ่งนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง และก่อนที่หลวงปูเที่ยงจะมรณภาพ ท่านก็ได้บอกแก่พระทางวัดตอนที่อยู่โรงพยาบาลไว้แล้วว่าให้ดำเนินการให้เป็นของสงฆ์ทั้งหมด เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสาธุชนต่อไป”
พระราชภัทรธาดา เจ้าอาวาสวัดบางกระเบา อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องราวของพระมหา ดร.พลชัย หรืออดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกกองปราบปรามบุกเข้าจับกุม และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 แล้ว ขณะนี้ทางคณะสงฆ์ปราจีนบุรี กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ เบื้องต้นทราบว่า หลังจากที่อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถูกจับสึกแล้วก็ได้แอบกลับมาบวชเป็นพระใหม่ และตอนนี้ก็ถือหนังสือสุทธิ 2 เล่ม ไม่ทราบว่าหนังสือสุทธิทั้ง 2 เล่มที่ถืออยู่นั้นเป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งทางคณะสงฆ์กำลังดำเนินการตรวจสอบกันอยู่ แต่ยังไม่ได้รายงานผลการตรวจสอบขึ้นมา
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ตอนนี้คณะสงฆ์ในจังหวัดปราจีนบุรี ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปดำเนินการต่อพระมหา ดร.พลชัย และตรวจสอบทรัพย์สิน หรือที่ดินของหลวงปู่เที่ยง ภายในวัดเจ้าเงาะได้ เนื่องจากที่ผ่านมา มักจะถูกพระมหา ดร.พลชัย พูดจาข่มขู่ในโดยอ้างว่ารู้จัก และสนิทสนมกันดีกับพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะภาค 12 วัดสระเกศ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ จนทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปดำเนินการต่อ พระมหา ดร.พลชัย เนื่องจากเกรงบารมีของพระพรหมสุธี
“หลังจากที่พระมหา ดร.พลชัย เข้ามาอยู่ในวัดเจ้าเงาะ ก็ได้สร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการสงฆ์และศาสนาใน จ.ปราจีนบุรี อย่างมาก จนชาวบ้านรอบๆ วัดเจ้าเงาะเขาเริ่มเอือมระอากันแล้ว ซึ่งทางพระผู้ใหญ่ใน จ.ปราจีนบุรี บอกว่าจะปล่อยให้คนนี้อยู่ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นภัยต่อศาสนาอย่างร้ายแรง เพราะที่ผ่านมา ได้ใช้ศาสนาหากินมาโดยตลอด และชอบแอบอ้างชื่อพระผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพระพรหมสุธี นอกจากนี้ ยังชอบแอบอ้างว่ารู้จักกับพระผู้ใหญ่อีกหลายรูป และรู้จักกับบุคคลสำคัญระดับประเทศ รวมทั้งระดับรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย” แหล่งข่าวกล่าว