กองปราบฯ ตรวจสอบพบสำนักพุทธฯ ดองเรื่อง “พระมหาพลชัย ถาวโร” แต่งชุดพันเอกขับรถหรูพาสีกาไปเสพเมถุนจนถูกจับสึกแล้วมาบวชใหม่ที่ปราจีนบุรี
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่ กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ สารวัตรกองกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม (สว.กก.2 บก.ป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกรณีที่มีการร้องเรียนว่า พระมหาพลชัย ถาวโร (อุ่นทรัพย์) อดีตพระครูธรรมธรวันชัย ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง ต.เขาพระ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ที่เคยถูกเจ้าหน้าที่กองปราบปรามบุกจับกุมคาชุด “พันเอก” ขณะขับรถยนต์หรูพาสีกาสาวไปนอนภายในบ้านพักย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี และถูกจับสึกเมื่อวันที่ 25 ต.ค.2543 หลังจากนั้น ได้กลับมาบวชเป็นพระใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุดจำวัดอยู่ที่วัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพระมหา ดร.พลชัย ถาวโร และพยายามที่จะยึดทรัพย์สิน รวมทั้งที่ดินของวัด หลังจากพระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งวัดนี้ที่ได้มรณภาพลงเมื่อปี 2554 ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ก.พ.2556 โดย พระสะอาด ปุญญพโล อายุ 60 ปี สำนักสงฆ์เทวศักดิ์มหาราชวิปัสสนา ใน จ.เชียงใหม่ มาร้องเรียนพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.ว่า พระมหาพลชัย ถาวโร ได้เคยปาราชิกแล้ว แต่ทำไมถึงมาบวชใหม่ได้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามได้เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าว จึงทราบว่า หลังจาก พระมหาพลชัย ถาวโร ถูกจับสึก และดำเนินคดีข้อหาแต่งเครื่องแบบทหารโดยไม่มีสิทธิจะแต่งได้ตามกฎหมาย ซึ่งเจ้าตัวถูกศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน เมื่อพ้นโทษก็ได้ไปอุปสมบทใหม่ที่วัดมหาชัย ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม ในวันที่ 27 ก.พ.2545 แต่ไปสังกัดกับ วัดนาควิชัย ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ต่อมาก็ย้ายไปจำวัดแถบภาคอีสานอีกหลายวัด และวัดที่ จ.นครนายก กระทั่งเจ้าตัวทราบว่า พระครูวิเศษพัฒนคุณ (เที่ยง โฉมเฉลา) ผู้ก่อตั้งที่พักสงฆ์ สันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี อาพาธกระเสาะกระแสะ จึงทำทีเข้ามาดูแลรับใช้ เนื่องจากทราบว่าวัดสันติวิเศษสุข หรือวัดเจ้าเงาะ ตอนนั้นยังเป็นที่พักสงฆ์ มีที่ดินที่ชาวบ้านบริจาคให้หลายไร่ กระทั่งปี 2554 พระครูวิเศษพัฒนคุณได้มรณภาพลง
จากนั้นเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2555 พระมหาพลชัย ถาวโร ก็ได้ดำเนินการจัดตั้งที่พักสงฆ์ดังกล่าวเป็นวัด พร้อมทั้งได้เสนอตนเองเป็นเจ้าอาวาสวัดสันติวิเศษสุข แต่ถูกเจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะ จ.ปราจีนบุรี ทำการคัดค้านจนถึงที่สุด เนื่องจากทราบถึงประวัติส่วนตัวของ พระมหาพลชัย ถาวโร ดี
เมื่อรวบรวมหลักฐานแล้ว ทางพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.ได้ส่งเรื่องที่ พระมหาพลชัย ถาวโร ถูกสึกเนื่องจากเสพเมถุน ให้สำนักพระพุทธศาสนาตรวจสอบ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2556 จากนั้น ทางสำนักพระพุทธศาสนาได้ส่งเรื่องไปยังเจ้าคณะภาค 12 (พระพรหมสุธี (เสนาะ ปัญญาวชิโร)) และเจ้าคณะจังหวัดนครนายก ที่เจ้าตัวสังกัดอยู่ แต่เรื่องก็เงียบหายไป จากนั้นทางพนักงานสอบสวนจึงทำหนังสือทวงถามความคืบหน้ากับทางสำนักพระพุทธศาสนาอีกรวมแล้ว 3 ครั้ง แต่เรื่องก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งจากการสืบสวน พระมหาพลชัย ถาวโร มักอ้างว่าสนิทกับข้าราชการและพระผู้ใหญระดับสูงหลายคน ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
ส่วนเรื่องที่ถูกร้องเรียนนั้น ทาง พระมหาพลชัย ถาวโร อ้างว่าตนเองไม่ได้ถูกดำเนินการเรื่องเสพเมถุน เพียงแต่โดนดำเนินคดีแต่งกายเลียนแบบทหารเท่านั้น นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า หลังถูกจับกุมดังกล่าวทางสำนักพุทธศาสนา จ.สุพรรณบุรี ก็ไม่ได้ตั้งกรรมการสอบและบันทึกเรื่องเสพเมถุนของ พระมหาพลชัย ถาวโร แต่อย่างใด ทำให้เจ้าตัวกลับมาบวชต่อกระทั่งถูกร้องเรียนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับทาง พระมหาพลชัย ถาวโร ได้เลย เนื่องจากต้องรอให้ทางสำนักพระพุทธศาสนา ตัดสินชี้ขาดก่อนว่า พระมหาพลชัย ถาวโร ปาราชิกหรือไม่ หากไม่ปาราชิกก็ไม่อาจดำเนินการทางกฎหมายได้ แต่หากตัดสินว่า ปาราชิก ทางพนักงานสอบสวนก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 44 “ผู้ใดพ้นจากความเป็นพระภิกษุเพราะต้องปาราชิกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยตามมาตรา 25 หรือไม่ก็ตาม แต่มารับบรรพชาอุปสมบทใหม่โดยกล่าวความเท็จหรือปิดบังความจริงต่อพระอุปัชฌาย์ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี” ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เส้นทางของ พระมหาพลชัย ถาวโร คล้ายๆ กับพระเณรคำที่มักจัดงานหาเงินสร้างวัด ซึ่งที่ดินตรงข้ามวัดก็มีการสร้างบ้านและมีรั้วรอบขอบชิด แถมเจ้าตัวยังห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวน กองปราบปราม เข้าไปตรวจสอบ นอกจากนี้ พระมหาพลชัย ถาวโร ได้ยื่นโทรศัพท์มือถือให้เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ป.คุยกับปลายสายที่เขาอ้างว่าเป็นนายทหารระดับ เสธ.ขอเคลียร์ด้วย แต่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธไป
อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังไม่ละความพยายาม ซึ่งจะได้ส่งหนังสือไปทวงถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวจากสำนักพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อต้องการรักษาศาสนาพุทธมิให้มัวหมอง เพราะบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์จากพุทธศาสนา