นครพนม - ผู้ว่าฯ นครพนมเต้นสั่งสอบลากคอแก๊งต้มตุ๋นอ้างชื่อผู้ว่าฯ รับเงินแลกล้มคดี กำนัน-ปลัด อบต.ค้าไม้พะยูงหวงห้ามเชื่อทำเป็นขบวนการและต้องมีข้าราชการมีส่วนร่วม ลั่นเอาผิดถึงที่สุดไม่ว่าหน้าไหนเกี่ยวข้อง
วันนี้ (4 ก.ย.) นายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกรณีมีผู้เสียหาย คือ นายประถม ยตะโคตร อายุ 47 ปี กำนันตำบลหนองโพธิ์ อ.วังยาง จ.นครพนม ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหามีไม้พะยูงหวงห้ามไว้ในครอบครอง เข้าร้องทุกข์แจ้งเบาะแสต่อผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงนายก่อกษาปณ์ อุปถัมภ์ ปลัด อบต.กุตาไก้ อ.ปลาปาก จ.นครพนม ซึ่งถูกตำรวจ สภ.กุตาไก้เข้าจับกุมกรณีใช้รถยนต์ทางราชการของ อบต.กุตาไก้ขนไม้หวงห้ามนอกเวลาราชการ
โดยทางสำนักงานป่าไม้นครพนมตรวจสอบแล้ว ระบุเป็นไม้หวงห้ามที่ตัดโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย พร้อมประสานตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี
แต่ภายหลังผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้มีการประสานงานผ่านเจ้าหน้าที่มาทวงถาม และให้ข้อมูลว่า มีบุคคลแอบอ้างว่ารับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมให้ทำการวิ่งเต้นช่วยเหลือล้มคดี พร้อมเรียกรับเงินสินบนเป็นค่าตอบแทน โดยจะให้โอนเข้าบัญชีของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งในสำนักงานผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นเงินของกำนันจำนวน 50,000 บาท และของปลัดจำนวน 20,000 บาท แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงประสานมาทวงถาม ทำให้รู้ว่าทั้ง 2 รายถูกแก๊งมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อผู้ว่าฯ ไปหาผลประโยชน์
อย่างไรก็ตาม นายอนุกูลระบุว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบมีการยืนยันว่าผู้เสียหายได้ทำการโอนเงินผ่านบัญชีบุคคลที่แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือวิ่งเต้นคดีได้ผ่านธนาคารแห่งหนึ่งที่มีชื่อระบุชัดเจน แต่ไม่ใช่บุคคลตามที่กล่าวอ้างว่าเป็นคนในสำนักงานผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม
ดังนั้นจึงได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสานงานตำรวจเร่งสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน เร่งหาเบาะแสติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
เนื่องจากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายหลอกลวง และสร้างความเสื่อมเสียให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมยืนยันจะดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมายรายนี้ให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือข้าราชการเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ จะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการวิ่งเต้นล้มคดีอย่างแน่นอน
ขอประกาศเตือนไปยังประชาชน หรือข้าราชการอย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ เพราะจะเสียทั้งเงิน และต้องถูกดำเนินคดีทุกข้อหา ส่วนกรณีดังกล่าวจะได้เร่งนำตัวผู้เสียหาย มาสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยละเอียด หากมีความผิดจริงจะต้องดำเนินการทั้งทางวินัย และทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ที่สำคัญจะต้องมีการขยายผล เพราะเชื่อว่าจะต้องมีข้าราชการในพื้นที่ หรือบุคคลที่น่าเชื่อถือมีส่วนรู้เห็น ป้องกันไม่ให้ฉวยโอกาสก่อเหตุซ้ำอีก