ศูนย์ข่าวศรีราชา - เรือสปีดโบตชนสนั่นกลางอ่าวพัทยา นักท่องเที่ยวจีนดับ 2 คน บาดเจ็บหลายราย ร่างกายมีร่องรอยถูกกระแทกรุนแรง โดยก่อนเกิดเหตุมีโปรแกรมเที่ยวเกาะล้านช่วงเช้า บ่ายจึงโดยสารเรือสปีดโบตกลับเข้าฝั่ง ขณะเรือเข้าเทียบท่าหัวเรือเกี่ยวเชือกสมอเรือที่จอดอยู่หน้าอ่าวจนเสียการทรงตัว ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วไปกระแทกกันอย่างรุนแรง
วันนี้ (28 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ พัทยา ไปตรวจสอบเหตุรถสปีดโบตชนกันกลางทะเล หน้าท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายราย
ที่เกิดเหตุอยู่กลางอ่าวพัทยา ห่างจากฝั่งประมาณ 200 เมตร พบเรือสปีดโบตโชคสุวรรณี 17 สีขาว-น้ำเงิน ที่หัวเรือชนอยู่กับเรือท้องแบนขนาดใหญ่ชื่อเกาะล้านเทรเวล 6 ที่จอดทอดสมออยู่ โดยพบว่า บริเวณหัวเรือและกราบขวาของเรือโชคสุวรรณี 17 มีร่องรอยถูกชนจนทะลุเป็นทางยาวกว่า 10 เมตร
มีศพผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บลอยอยู่ในน้ำ และบริเวณกราบเรือ จึงเข้าทำการช่วยเหลือ ซึ่งพบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายต๊ง เฟ๋ย ยี่ อายุ 30 ปี และนายเทา จัน อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ตามร่างกายมีร่องรอยถูกใบพัดเรือฟันเข้าที่ต้นคอ และร่องรอยการถูกกระแทกรุนแรง
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บมี 4 ราย ประกอบด้วย นายเกรียงไกร บุญศรี อายุ 23 ปี คนขับเรือ นายกู หยู ชาง อายุ 33 ปี และนักท่องเที่ยวจีนไม่ทราบชื่ออีก 2 ราย จึงนำส่งโรงพยาบาลพัทยาเมโมเรียล ซึ่งทั้งหมดปลอดภัยแล้ว
สอบสวนทราบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีน 30 คน เดินทางมาเที่ยวที่พัทยาในนาม บริษัท ทัวร์หลงไท่ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยก่อนเกิดเหตุมีโปรแกรมเดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะล้านช่วงเช้า กระทั่งบ่ายจึงพากันโดยสารเรือสปีดโบตกลับเข้าฝั่ง ปรากฏว่า ขณะที่เรือกำลังจะเข้าเทียบท่า หัวเรือโชคสวุรรณี 17 ไปเกี่ยวกับเชือกสมอของเรือเกาะล้านทราเวล 6 ที่จอดอยู่หน้าอ่าว ทำให้เชือกตวัดไปพันกับหัวเรือ และใบพัด ทำให้เรือเสียการทรงตัวถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วไปกระแทกกันอย่างรุนแรง นักท่องเที่ยวที่โดยสารมาถูกแรงกระแทกบาดเจ็บ ขณะที่ผู้เสียชีวิตกระเด็นตกน้ำจึงถูกใบพัดเรือฟัน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้อายัดตัวคนขับเรือโชคสวุรรณี 17 ไว้ โดยตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำการประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะสอบสวนหาข้อเท็จจริง และดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป
ภาพจากเฟซบุ๊ก RKU News
