กาญจนบุรี - จนท.สิ่งแวดล้อมภาคที่ 8 (ราชบุรี) นำทีมเก็บตัวอย่างสารเคมี พบปนเปื้อนสารแคดเมียม-โครเมียม ระดับ 2 ขั้นอันตราย ชาวบ้านได้รับผลกระทบ 1 ราย คาดโรงงานอุตสาหกรรมนอกพื้นที่ลักลอบมาทิ้ง
ความคืบหน้ากรณีมีผู้ลักลอบนำสารพิษไม่ทราบชนิดใส่ถุงบิ๊กแบ็ก และถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร มาทิ้งที่บริเวณป่าเชิงเขาตอง หมู่ 6 บ้านหนองสองตอน ต.ท่าล้อ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณ สภาพสิ่งแวดล้อมโดยรอบโดยเฉพาะหญ้า และต้นไม้แห้งตายลักษณะคล้ายกับถูกไฟไหม้
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (16 ส.ค.) นายหัสนัย จิตอารีย์ นายอำเภอท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้สั่งการให้ นายเดโช ประกาศแก่นทราย ปลัดอาวุโสอำเภอท่าม่วง พร้อมเจ้าหน้าที่อำเภอท่าม่วง มาตรวจสอบร่วมกับ นายประสาท ฉัตรไชยรัชต์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานเฝ้าระวังฯ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 8 (ราชบุรี) นายวิชญ์วารุตม์ สมจันทร์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อม สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 8 (ราชบุรี) เพื่อเก็บตัวอย่างไปตรวจสอบอย่างละเอียดในห้องแล็บวิทยาศาสตร์ ที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 8 (ราชบุรี)
นายวิชญ์วารุตม์ สมจันทร์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมฯ เปิดเผยว่า สารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งที่บรรจุอยู่ในถังพลาสติกสีฟ้าขนาด 200 ลิตร เป็นสารเรซิน ที่มีความแข็งตัวเร็ว มักนำมาใช้สำหรับผลิตกันชนรถยนต์ หรือผลิตโล่รางวัล เรซิน จะมีลักษณะของแข็ง และของเหลว ส่วนเรซินที่พบถูกนำมาทิ้งมีลักษณะแข็งเร็ว และหมดอายุการใช้งาน ซึ่งจำนวนเรซินที่พบถือว่ามีจำนวนมาก และคาดว่าผู้ที่นำมาทิ้งคงจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีสารแคดเมียม และสารโครเมียม ลักษณะเป็นกรด และด่างสูงระดับ 2 ปนอยู่ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยเฉพาะผิวหนัง และดวงตา แต่อย่างไรก็ตาม เราจะนำตัวอย่างไปตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบต่อไป
ด้านนายประสาท ฉัตรไชยรัชต์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษฯ เปิดเผยว่า เนื่องจากสารพิษที่ตรวจพบเป็นสารแคดเมียม และสารโครเมียม ซึ่งมีลักษณะเป็นกรด ในระดับ 2 ซึ่งถือว่าอันตรายมาก จะต้องให้บริษัทรับกำจัดของเสีย หรือกำจัดสารพิษที่ได้มาตรฐานเท่านั้นในการทำลาย หากนำไปเผา หรือฝังกลบ สารทั้ง 2 ชนิดอาจจะซึมเข้าสู่ใต้พื้นดินก็เป็นได้ ซึ่งจะไม่สามารถกำจัดได้อย่างถาวร การที่มีผู้ลักลอบมาสารเคมีมาทิ้งครั้งนี้นับว่ายังโชคดีที่บริเวณโดยรอบในรัศมี 1 กิโลเมตร ไม่มีบ้านเรือนประชาชนอยู่ใกล้
สำหรับสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งที่บรรจุอยู่ในถุงบิ๊กแบ็ก จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีลักษณะเป็นผงสีขาวเทา มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หากถูกผิวหนังก็จะรู้สึกคัน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน จะสังเกตเห็นได้จากต้นไม้ และหญ้าที่อยู่โดยรอบจะแห้งตายลักษณะคล้ายกับถูกไฟเผา ผงชนิดดังกล่าวเป็นกากของอะลูมิเนียม จากจำนวนที่พบคาดว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตอะลูมีเนียมขนาดใหญ่ และจากการตรวจสอบเชื่อว่า สารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งทั้ง 2 จุด มาจากแห่งเดียวกัน
ส่วนนายเดโช ประกาศแก่นทราย ปลัดอาวุโสอำเภอท่าม่วง กล่าวว่า เบื้องต้นเราได้ตรวจสอบพบว่าสารเคมีที่ถูกนำมาทิ้งมีนำหนักรวมกันประมาณ 50 ตัน จากการสำรวจในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ไม่พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ผลิตอะลูมิเนียมอยู่ในพื้นที่ จึงเชื่อได้ว่าผู้ที่ลักลอบนำสารเคมีมาทิ้งคงมาจากพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง การป้องกันเบื้องต้นได้ประสานกับผู้นำท้องถิ่นให้มาขุดลอกทางน้ำที่ไหลลงมาจากบนภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง ให้เปลี่ยนทางน้ำที่จะไหลมาลงที่กองสารเคมี และให้นำผ้าใบขนาดใหญ่มาปิดกันน้ำฝนเอาไว้ และขอให้ประชาชนอย่าเข้ามาใกล้พื้นที่เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายจากการสูดดมสารเคมีเข้าไป ส่วนแนวทางการสืบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดในครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้แจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.ท่าม่วง เพื่อติดตามจับกุมผู้ที่ลักลอบนำสารเคมีมาทิ้งต่อไป
ด้านนายวิธาน ทับทิมสี อายุ 29 ปี ชาวบ้านหมู่ 2 ต.ท่าล้อ เปิดเผยว่า เมื่อวานช่วงเย็นตนได้เข้ามาช่วยเหลือผู้ใหญ่บ้านในการนำผ้าใบขึ้นไปปิดสารเคมีจนแล้วเสร็จ จากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน พอตื่นเช้าเกิดความรู้สึกว่ามีอาการคันที่หน้าขาทั้ง 2 ข้าง จึงใช้มือเกา และมองดูก็พบว่าหน้าแข้งทั้ง 2 ข้างกลายเป็นผื่นสีขาวตั้งแต่หัวเข่าจนถึงข้อเท้า ซึ่งตนมั่นใจว่าเป็นเพราะไปโดนสารเคมี แต่ตนยังไม่ได้ไปพบหมอแต่อย่างใด