นครพนม - อบจ.นครพนม นำร่องทำ “นาโยน” เปิดแปลงสาธิตให้ชาวนาเรียนรู้การทำนารูปแบบใหม่เพื่อลดต้นทุนการทำนา ซ้ำได้ผลผลิตเพิ่มมากกว่าเดิม
วันนี้ (29 ก.ค.) ดร.สมชอบ นิติพจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครพนม เปิดเผยว่า ขณะนี้ อบจ.นครพนม ได้ริเริ่มโครงการ “1 ไร่ ได้เงิน 1 แสน” ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โครงการล่าสุดคือ การเปิดแปลงสาธิตทดลองการทำนาโยน โดยใช้พื้นที่แปลงนา จำนวน 3 ไร่ ในเขตอำเภอปลาปาก เป็นพื้นที่นำร่อง พร้อมกับเชิญผู้เชี่ยวชาญการทำนาโยนจากศูนย์เรียนรู้กสิกรรมไร้สารพิษจังหวัดลพบุรี มามาสาธิตให้ความรู้แก่เกษตรกรชาวนาที่สนใจ ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นกล้าข้าว จนถึงการลงมือปฏิบัติจริง
การเปิดแปลงสาธิตการทำนาโยนในพื้นที่นครพนมครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรก ส่วนผลจะออกมาเช่นไรเราต้องรอดูถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ถ้าหากการทำนาโยนส่งผลดีได้ผลผลิตดีเหมาะสมกับชาวนาในนครพนม แปลงนาโยนสาธิตนี้ก็จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ชาวนามาศึกษา ตลอดจนการเผยแพร่ให้เกษตรกรเรียนรู้ให้แพร่หลายยิ่งขึ้น
ดร.สมชอบ กล่าวอีกว่า การที่ อบจ. นำร่องทำนาโยนครั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการทำนาในพื้นที่จังหวัดนครพนม ซึ่งชาวนาส่วนใหญ่จะเคยชินกับการทำนาแบบปักดำ ที่ได้รับการปลูกฝังจากบรรพบุรุษมากว่า 100 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ตั้งแต่การว่าจ้างไถปรับที่ดินเฉลี่ยไร่ละ 600-700 บาท จ้างถอนกล้ามัดละ 5 บาท จ้างดำนาวันละ 350 บาท/คน จนถึงการจ้างเกี่ยวรวมแล้วการทำนาฤดูหนึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก
การทำนาโยนจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหลายเท่า ซึ่งการทำนาโยนจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการทำนาของเกษตรกรในพื้นที่นครพนม
ด้านนายเชาว์ หนูทอง ประธานศูนย์เรียนรู้กสิกรรมไร้สารพิษ จ.ลพบุรี กล่าวว่า การทำนาโยนเป็นที่นิยมของชาวนาในภาคกลาง ลงทุน และใช้แรงงานน้อยกว่าการทำนาดำ และที่สำคัญ ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวน้อยมากเฉลี่ยไร่ละ 1,300 บาทเท่านั้น ตั้งแต่การเพราะเมล็ดข้าวในถาดหลุมเป็นเวลา 15 วัน และการว่าจ้างแรงงานโยนน้อยมากจ้างแรงงานโยนเพียง 1 คน ในเวลา 1 ชั่วโมง จะสามารถโยนได้ถึง 3 ไร่
เท่าที่ตนศึกษาเก็บข้อมูลการทำนาโยนของชาวนาภาคกลาง จะได้ผลผลิตดีกว่าการทำนาดำของชาวอีสานเมื่อเทียบไร่ต่อไร่ และที่สำคัญ ต้นทุนการผลิตก็น้อยกว่าด้วย ซึ่งคาดว่าในอนาคตการทำนาโยนจะเป็นมิติใหม่ในการทำนาของชาวนาภาคอีสาน
