พิษณุโลก - ชาวบ้านรุมจับโจ๋วัย 13 ก่อเหตุลักทรัพย์ร้านขายของชำ ไม่พองัดกุฏิวัด ขโมยทั้งบุหรี่-เงินสด-พระเครื่อง จากนั้นนำบางส่วนไปแบ่งขายหาเงินเล่นเกมคอมพิวเตอร์ แม่เผยก่อเหตุลักของเพื่อนบ้านหลายครั้ง เคยแจ้ง ตร.จับเข้าสถานพินิจฯ มาแล้วยังไม่ยอมเลิก
วันนี้ (25 ก.ค.) ร.ต.ท.สุขเสริม พันธุ์เขียว ร้อยเวร สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งจากนายชัยชนะ บุญสิงห์ กำนัน ต.บ้านคลอง อ.เมืองพิษณุโลก ว่าตนเองพร้อมกับชาวบ้านได้ช่วยกันจับคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ภายในวัดยาง (มีมานะ) และร้านค้าที่อยู่ข้างวัด ได้ผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย คือ ด.ช.นน (นามสมมติ) อายุ 13 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ ต.บ้านคลอง อ.เมืองพิษณุโลก พร้อมของกลางบุหรี่ต่างประเทศ 3 ซอง เงินสดจำนวน 67 บาท พระพุทธรูปหน้าตัก 3 นิ้ว 2 องค์ พระเครื่องและตะกรุด ประมาณ 100 องค์
สอบสวน น.ส.ฉัตรธิดา แพนนิยม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 95/1 หมู่ 1 ต.บ้านคลอง เปิดเผยว่า ตนเปิดร้านขายของชำที่บ้านพัก เมื่อคืนที่ผ่านมามีฝนตกลงมาตลอดทั้งคืนทำให้ไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ จนกระทั่งเช้าวันนี้พบกระเบื้องหลังคาด้านหลังบ้านถูกเปิดออก และมีคนเข้ามาลักทรัพย์สินในบ้านพัก มีเงินสดที่ใช้ทอนลูกค้าประมาณ 300 บาท บุหรี่ยี่ห้อต่างประเทศ 6 ซอง ตนจึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งกำนัน ต.บ้านคลอง
ด้านพระมานิตย์ สิริวณโณ อายุ 40 ปี พระลูกวัดยาง กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ออกไปบิณฑบาต เมื่อกลับมาที่กุฏิพบว่าหน้าต่างกุฏิถูกคนร้ายงัดออก และรื้อค้นทรัพย์สิน ตรวจสอบพบว่าพระพุทธรูปภายในห้องหายไป 2 องค์ พระเครื่องอื่นอีกกว่า 100 องค์ ต่อมาเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ จึงรู้ว่าเป็น ด.ช.นน (นามสมมติ) ชอบมาวิ่งเล่นแถวลานวัดเป็นประจำ
สอบสวน ด.ช.นนให้การรับสารภาพว่า ก่อเหตุลักทรัพย์ที่ร้านค้าและกุฏิพระในวัดจริง โดยนำบุหรี่ไปสูบกับเพื่อน หมดไปแล้ว 3 ซอง และนำไปขายให้ร้านค้าแถวหน้าวิทยาลัยสารพัดช่างอีก 3 ซอง ได้เงินมา 120 บาท ส่วนพระเครื่อง ให้เพื่อนรุ่นพี่ที่ชื่อว่าโอ๋ ไปส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็นำไปขายได้เงินมา 400 บาท ก็จะนำไปเที่ยวและเล่นเกมคอมพิวเตอร์ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เสียก่อน
ด้านนางบี (นามสมมติ) อายุ 39 ปี มารดาของผู้ต้องหาให้การว่า ลูกชายเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก็ไม่ได้เรียนต่อ และมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยมานานแล้ว ซึ่งตนเองก็ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง บางครั้งไปขโมยของเพื่อนบ้าน เขาก็มาบอกให้รู้ โดยไม่เอาเรื่อง เพราะเห็นเป็นเด็กอยากให้กลับตัวสำนึกผิด แต่ลูกชายของตนเองก็ไม่เลิกนิสัยดังกล่าว
กระทั่งเมื่อปี 2554 ได้ไปลักเงินของเพื่อนบ้านจำนวน 50 บาท เขาก็ไม่เอาเรื่อง แต่ด้วยความที่ตนเองอยากให้ลูกเลิกพฤติกรรมดังกล่าว จึงได้นำตัวลูกชายไปส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ช่วยดำเนินคดี สุดท้ายลูกชายถูกตัดสินให้เข้าไปอยู่ในสถานพินิจคุ้มครองเด็ก และเยาวชน เป็นเวลา 9 เดือน และถูกควบคุมความประพฤติอีก 2 ปี ต้องไปรายงานตัวทุก 4 เดือน แต่ลูกชายไม่เคยไปรายงานตัวเลยและมาก่อเหตุลักทรัพย์จนถูกจับกุมได้ในที่สุด