นายแพทย์ณรงค์ อึ้งตระกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวหลวงปู่เณรคำ เคยเข้ามาร่วมหาทุนก่อสร้างตึกโรงพยาบาลร้อยเอ็ดเมื่อราว 2 ปีก่อนว่า เป็นความจริง โดยเริ่มจากเดิม หลงปู่เณรคำเห็นว่า โรงพยาบาลร้อยเอ็ดมีคนป่วยล้นโรงพยาบาล และได้มีการเสนอแนวคิดที่จะสร้างตึกสงฆ์อาพาธหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ขึ้นในโรงพยาบาลร้อยเอ็ด โดยเสนอสร้างเป็นตึกสูง 10 ชั้น มูลค่าเงินก่อสร้าง 214 ล้านบาท
โครงการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธดังกล่าว จะดำเนินการในนามมูลนิธิหลวงปู่เณรคำ โดยงบประมาณที่จะใช้ก่อสร้างนั้น หลวงปู่เณรคำ จะมาเทศนาที่โรงพยาบาล และเปิดรับบริจาคระดมทุนจากญาติโยม
แต่หลังจากเริ่มโครงการ และมีการเสนอเรื่องไปขอความเห็นชอบจากกระทรวงสาธารณสุข ทางกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ทำการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของมูลธินิหลวงปู่เณรคำ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่จะต้องตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้ที่จะสนับสนุนการก่อสร้างก่อน ว่าการเงินมั่นคงมากน้อยแค่ไหนเพื่อประกอบพิจารณาอนุญาต
ผลการตรวจสอบพบว่า มีเงินในบัญชีจริงไม่ถึง 4 แสนบาท ถือว่าสถานะทางการเงินไม่มั่นคง ทางกระทรวงฯ จึงไม่อนุมัติให้หลวงปู่เณรคำ ใช้ชื่อของโรงพยาบาลไปรับบริจาคหาเงินสร้างตึกผู้ป่วยดังกล่าว ในที่สุดก็ต้องระงับโครงการฯ
ผอ.รพ.ร้อยเอ็ด กล่าวยอมรับว่า หลวงปู่เณรคำ เคยเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างอาคารผู้ป่วยตึกสงฆ์อาพาธของโรงพยาบาลจริง เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2554 แต่ไม่ได้มีการเชิดเงินไป 500,000 บาท ตามที่เป็นข่าว เงินที่รับบริจาคในนามคนร้อยเอ็ดเพื่อการก่อสร้างตึกดังกล่าวยังอยู่ที่คณะกรรมการก่อสร้างที่ตั้งขึ้นทั้งหมด ซึ่งมีราว 72 ล้านบาท แต่อาจจะมีส่วนหนึ่งที่ประชาชนได้บริจาคให้แก่มือหลวงปู่เณรคำ เพราะต้องการถวายหลวงปู่โดยตรง
นายแพทย์ณรงค์ กล่าวอีกว่า หลังจากที่หลวงปู่เณรคำ มาเป็นประธานวางศิลาฤกษ์เสร็จแล้ว ก็ได้วางมือจากการร่วมโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลไป และจากเดิมต้องสร้างตึกสูง 10 ชั้น ใช้งบ 214 ล้านบาท ก็ลดขนาดลงมาเหลือ 7 ชั้น กำหนดวงเงินก่อสร้างไว้ที่ 68 ล้านบาท
พร้อมกันนั้น ก็ได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาดูแลกำกับการดำเนินโครงการ โดยคณะสงฆ์ของจังหวัดร้อยเอ็ด มีพระธรรมฐิติญาณ เจ้าอาวาสวัดบึงพะลานชัย เป็นประธาน มีเจ้าคณะอำเภอเป็นรองประธาน และมีตนเป็นกรรมการฝ่ายฆราวาส
นอกจากนี้ ยังได้ลงมติกันทำการเปลี่ยนชื่อเป็นตึกอาคารสงฆ์เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา แทนคำว่า อาคารหลวงปู่เณรคำ ดังนั้น ขอยืนยันว่าการก่อสร้างตึกดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลวงปู่เณรคำแต่อย่างใด เป็นการเปลี่ยนชื่อเพราะหลวงปู่เณรคำบอกว่าไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบการก่อสร้างทั้งหมดตามคำพูดเดิมที่เคยรับปากไว้