xs
xsm
sm
md
lg

รูป นศ.โดนเด็กแม่โจ้รุมซ้อมว่อนเน็ต รองอธิการฯ แจงเข้าใจผิดเรื่องรับน้อง-คาดมือที่สามปล่อยภาพทำลายชื่อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งถูกเผยแพร่ในเฟซบุ๊ค Anti-SOTUS โดยระบุว่าเกิดจากการถูกกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้รุมทำร้าย เนื่องจากพยายามเข้าไปดูการรับน้องของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และกลายเป้นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโซเชียลเน็ตเวิร์ค
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ภาพ นศ.โดนทำร้ายว่อนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ระบุโดน นศ.ม.แม่โจ้รุมทำร้ายเพราะจะไปดูการรับน้อง อ้าง นศ.เมา-ยกพวกรุมก่อนโดนจับสาบานห้ามแพร่งพรายถึงยอมปล่อยตัว ด้านรองอธิการบดีแจงเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหตุช่วงรับน้อง ม.แม่โจ้คุมเข้มคนนอกห้ามเข้า ยันเคลียร์ปัญหาจบไปแล้ว-เจ้าทุกข์ไม่ติดใจแต่กลับมีรูปว่อนเน็ต คาดมีมือที่สามหวังทำลายชื่อเสียง

วันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถิตย์ วิมล รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยถึงกรณีการเผยแพร่ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งระบุว่าได้รับบาดเจ็บเนื่องจากถูกทำร้าย หลังจากเข้าไปในมหาวิทยาลัยแม้โจ้เพื่อดูการรับน้องของมหาวิทยาลัย ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กอยู่ในขณะนี้ว่า มหาวิทยาลัยได้รับทราบเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว โดยมีนักศึกษาจากต่างสถาบัน 2 รายเข้ามาดูการรับน้องจริง และได้มีการเรียกมาพูดคุย ก่อนจะนำรถของมหาวิทยาลัยนำนักศึกษาทั้ง 2 รายออกไปส่งภายนอกมหาวิทยาลัย เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายและเกิดความเข้าใจผิดระหว่างนักศึกษาทั้งสองสถาบัน

ส่วนการที่นักศึกษาทั้ง 2 รายถูกนักศึกษากักตัวหรือขัดขวางไม่ให้เข้าไปในบางพื้นที่ของมหาวิทยาลัยนั้นเป็นเพราะแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้มีการทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด อีกทั้งหลังจากเกิดเรื่องทางคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยได้เดินทางไปพบผู้ปกครองของนักศึกษาทั้ง 2 รายและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความเข้าใจผิด ซึ่งผู้เสียหายและผู้ปกครองก็ไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใด

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถิตย์กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีที่มีการนำรูปและข้อความที่ระบุว่าเกิดจากการรับน้องของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้น คาดว่าน่าจะเป็นการกระทำของมือที่สามที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของสถาบัน เนื่องจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้มีประเพณีรับน้องที่ยึดถือระบบโซตัสและมีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ส่วนการใช้ความรุนแรงในการรับน้อง มหาวิทยาลัยมีนโยบายไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการรับน้องอยู่แล้ว เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยมีกฎเข้มงวด และไม่สนับสนุนให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่จะเน้นการส่งเสริมประเพณีที่ดีงามที่มีการสืบทอดมากกว่า 78 ปี โดยที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยได้มีการลงโทษนักศึกษารุ่นพี่ที่ใช้ความรุนแรงในการรับน้องไปแล้วจำนวน 3 ราย

การออกมาชี้แจงของรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่เกิดกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่งในเฟซบุ๊กของกลุ่ม Anti-SOTUS (กลุ่มเยาวชนปฏิรูปการรับน้องประชุมเชียร์แห่งประเทศไทย) (http://www.facebook.com/antisotusTH) โดยมีการให้ข้อมูลว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวซึ่งเป็นนักศึกษาจากสถาบันอื่นถูกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้รุมทำร้าย เนื่องจากเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่ทราบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมหาวิทยาลัยแม่โจ้อยู่ในระหว่างการรับน้องและมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด รวมทั้งห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในบริเวณมหาวิทยาลัย

ข้อมูลที่ระบุไว้ในเฟซบุ๊กของกลุ่ม Anti_SOTUS ระบุว่า นักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บและเพื่อเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ แต่กลับถูกกลุ่มนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้จำนวนมากกว่า 10 คนซึ่งคอยควบคุมทางเข้าออกมหาวิทยาลัยรุมทำร้ายที่บริเวณประตูทางเข้าเนื่องจากไม่มีบัตรนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยนักศึกษากลุ่มดังกล่าวต่างอยู่ในอาการมึนเมา และเมื่อนักศึกษาต่างสถาบันทั้งสองพยายามหนีเอาตัวรอด โดยหนึ่งในนั้นสามารถไปขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสถาบันได้ ปรากฏว่ามีกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ได้มาตามตัวคนทั้งสองพร้อมทั้งอ้างว่าจะพาตัวไปยังบริเวณที่ปลอดภัย แต่แล้วกลับพาทั้งสองคนไปรุมทำร้ายอีกครั้ง ก่อนจะนำตัวทั้งคู่ไปที่ห้องของรองอธิการบดีเพื่อสอบสวน และภายหลังเสร็จสิ้นการสอบสวน ทั้งสองถูกนำตัวไปสาบานที่ศาลเจ้าแม่แม่โจ้ไม่ให้นำสิ่งที่เกิดขึ้นไปบอกใคร ก่อนจะถูกส่งตัวออกมาภายนอกมหาวิทยาลัยในที่สุด

ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Anti-SOTUS เปิดเผยว่า หลังจากทราบเรื่องดังกล่าวได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของจังหวัดเชียงใหม่เข้าคุ้มครองและสอบปากคำผู้เสียหาย รวมทั้งเตรียมที่จะดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุ พร้อมทั้งยังระบุว่าจะมีการทำหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน รวมถึงองค์การสหประชาชาติให้เข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมของนักศึกษาและผู้บริหารของสถาบันด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น