กาฬสินธุ์ - โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ร่วมกับมูลนิธิออทิสติกไทย สาขากาฬสินธุ์ และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมรณรงค์ตระหนักรู้ออทิสติกโลก ครั้งที่ 3 สร้างเจตคติที่ดีต่อบุคคลออทิสติก ตลอดจนสร้างความรู้แก่ครู แพทย์ และผู้ปกครองในการดูแลเด็กออทิสติกอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีและอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข
วันนี้ (27 พ.ค.) ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา หน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นพ.สมอาจ ตั้งเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ นางสมคิด สุทธิพรม ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย สาขากาฬสินธุ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง และบุคคลออทิสติกกว่า 1,000 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมโครงการรณรงค์ตระหนักรู้ออทิสติกโลก จังหวัดกาฬสินธุ์ ครั้งที่ 3
โดยการเดินรณรงค์ถือป้ายข้อความประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักและสร้างเจตคติที่ดีต่อบุคคลออทิสติก ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่ครู แพทย์ และผู้ปกครองในการดูแลเด็กออทิสติกอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีและอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข
นพ.สมอาจกล่าวว่า ภาวะออทิซึมเป็นความพิการประเภทหนึ่งที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ 3 ด้าน ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสารในสังคม และด้านจินตนาการ และอาจมีพฤติกรรมซ้ำๆ บางอย่างแสดงให้เห็นได้ ซึ่งความบกพร่องเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน โดยจะพบได้ก่อนอายุ 3 ขวบ
ทั้งนี้ จากการศึกษาในระดับประเทศที่ผ่านมาพบว่ามีความชุกของการเกิดเด็กพิเศษหรือออทิสติกเฉลี่ยร้อยละ 10 ของประชากรเด็ก และปัจจุบันจำนวนบุคคลออทิสติกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ คือคิดเป็น 1 ต่อประชากร 166 คน
สำหรับโรงพยาบาลกาฬสินธุ์มีเด็กพิเศษมารับบริการ 1,266 คน วินิจฉัยแล้วว่าเป็นเด็กออทิสติก 82 คน เป็นเด็กสมาธิสั้น 68 คน บกพร่องด้านสติปัญญา 166 คน เด็กสมองพิการ 118 คน และเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า 948 คน ดังนั้น โรงพยาบาลจึงได้ร่วมกับมูลนิธิออทิสติกไทย สาขากาฬสินธุ์ และภาคีเครือข่ายจัดกิจกรรมรณรงค์ตระหนักรู้ออทิสติกโลก จังหวัดกาฬสินธุ์ ครั้งที่ 3 ขึ้น
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการให้ความช่วยเหลือพัฒนาการ การจัดการศึกษาให้แก่บุคคลออทิสติก อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ให้แก่ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรที่ดูแลเด็กออทิสติก เพื่อที่จะร่วมกันทำให้เกิดพัฒนาการที่ดีและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป