ศูนย์ข่าวศรีราชา - ทุกภาคส่วนร่วมถวายราชสักการะ รำลึก 90 ปี แห่งการจากไปของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ องค์บิดาทหารเรือไทย (เสด็จเตี่ย) เนื่องในวันอาภากร
วันนี้ (19 พ.ค.) พล.ร.อ.ฆนัท ทองพูล ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายเครื่องราชสักการะ ต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ องค์บิดาทหารเรือไทย (เสด็จเตี่ย) เนื่องในวันอาภากร หรือวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์เวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 90 ณ สวนกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พล.ร.ท.ชัยณรงค์ เจริญรักษ์ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมพิธี
ซึ่งข้าราชการทหารเรือ และประชาชนทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันบรรเลง และขับร้องเพลงพระราชทาน เดินหน้า ดอกประดู่ และดาบของชาติ เพื่อรำลึกถึงพระองค์ และยิงสลุตของทหารหมู่ปืนเล็ก 19 นัด อันเป็นการเทิดพระเกียรติ ซึ่งทหารเรือทุกนายเชื่อว่า ดวงพระวิญญาณของพระองค์ยังสถิตอยู่บนทิพย์วิมาน หรือสรวงสวรรค์ เพื่อคุ้มครองดูแลลูกหลานของพระองค์ไม่ให้อริศัตรูมาแย่งแผ่นดินสยามไปได้
สำหรับพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2423 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด ทรงเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะเหล่าทหารเรือ ซึ่งเทิดทูนยกย่องขนานนามว่า “องค์พระบิดาทหารเรือไทย” ทั้งนี้ ได้ทรงวางรากฐาน และเสริมสร้างการทหารเรือไทยให้มีความทันสมัย และเข้มแข็งทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรืออังกฤษ และเดินทางกลับสู่สยาม เมื่อ พ.ศ.2443 ตลอดระยะเวลาที่ทรงรับราชการในกระทรวงทหารเรือ พระองค์รทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะพัฒนา และสร้างความมั่นคงให้แก่ราชนาวีไทย โดยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างชาติเหมือนในอดีต พระองค์ทรงนำเรือหลวงมกุฎราชกุมาร เดินทางไปอวดธงสยามในน่านน้ำต่างประเทศ ด้วยกำลังพลที่เป็นคนไทยล้วนๆ เป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2450 อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในด้านการทหารเรืออย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการแพทย์แผนโบราณ ให้การรักษาผู้เจ็บป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในระหว่างที่ทรงลาออกจากกระทรวงทหารเรือชั่วระยะหนึ่ง และทรงกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในปี พ.ศ.2460 ในตำแหน่งจเรทหารเรือ และเสนาธิการทหารเรือ ขณะที่ดำรงตำแหน่งทรงแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักยุทธศาสตร์ ด้วยทรงขอพระราชทานพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งมีชัยภูมิเหมาะสมเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือ อีกทั้งยังทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งกำลังอากาศนาวี เพื่อให้มีนาวิกานุภาพที่สมบูรณ์และเข้มแข็ง เช่นเดียวกับเพลงเดินหน้า เพลงดอกประดู่ และเพลงดาบของชาติ ที่ทรงนิพนธ์ไว้ให้เป็นเพลงปลุกจิตวิญญาณ และความสามัคคีของเหล่าทหารเรือให้เป็นหนึ่งเดียว ยังอยู่คู่กับราชนาวีไทยมาจนตราบทุกวันนี้