บุรีรัมย์ - ตำรวจบุรีรัมย์หอบสำนวนคดียักยอกมันในโครงการจำนำกว่า 34,000 ตัน มูลค่าความเสียหายกว่า 250 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหาส่งอัยการจังหวัดนางรองเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องศาลแล้วหลังคดียืดเยื้อมานานเกือบ 4 เดือน พร้อมยันข้อมูลหลักฐานมีน้ำหนักเพียงพอเอาผิดผู้กระทำผิดได้
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (23 เม.ย.) พ.ต.อ.วิรัตน์ ถาดทอง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ดูแลรับผิดชอบคดียักยอกมันปะหลังในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 ในเขตพื้นที่ อ.หนองกี่ และ อ.ละหานทราย รวมปริมาณมันที่สูญหายไปจากลานกว่า 34,000 ตัน มูลค่าความเสียหายกว่า 250 ล้านบาท ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.เสนอ รัตน์ประโคน รองผู้กำกับการ สภ.หนองกี่ พร้อม พ.ต.ต.ไพศาล ปันเร็ว พนักงานสอบสวน นำสำนวนคดีทุจริตจำนำมันในเขตพื้นที่ อ.หนองกี่กว่า 29,000 ตัน มูลค่ากว่า 215 ล้านบาท
พร้อมผู้ต้องหา 2 ราย ประกอบด้วย นายกิตติพงษ์ แสนวรางกูล กรรมการบริษัท แสงอีสานการเกษตร จำกัด และนายสักรินทร์ รัตนะ กรรมการบริษัท ชโลบลอินเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่ถูกแจ้งข้อหา "ยักยอกทรัพย์" ส่งมอบให้พนักงานอัยการจังหวัดนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องศาลแล้ว
หลังจากคดีดังกล่าวได้ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้รวมเป็นเวลาเกือบ 4 เดือน ส่วนคดียักยอกมันที่ อ.ละหานทราย ปริมาณกว่า 4,700 ตัน มูลค่าความเสียหายกว่า 35 ล้านบาท ทางพนักงานสอบสวนได้นัดนำสำนวนคดี พร้อมผู้ต้องหา คือนายอรรถพร พันธ์สะอาด กรรมการบริษัท ธงฟ้าเทรดดิ้ง จำกัด ส่งมอบให้อัยการจังหวัดนางรองในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย.)
ทั้งนี้ พ.ต.ท.เสนอ รัตน์ประโคน รองผู้กำกับการ สภ.หนองกี่ ระบุว่า ถึงแม้ผู้ต้องหาจะยังให้การปฏิเสธในชั้นพนักงานสอบสวน โดยจะขอให้การในชั้นศาล แต่ก็มั่นใจว่าข้อมูลพยานหลักฐานมีน้ำหนักเพียงพอมัดตัวผู้กระทำผิดได้
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 2 รายที่ได้เข้าพบอัยการตามนัดในวันนี้ ก็ได้ปล่อยตัวไปโดยไม่ต้องมีการยื่นประกันตัวเพราะไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ประกอบกับผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวตามเรียกของพนักงานสอบสวนตามกระบวนการกฎหมาย
ด้านนายนริศ ชำนาญชานันท์ อัยการจังหวัดนางรอง ระบุว่า หลังรับมอบสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว ก็จะมอบหมายให้ นายพศุตม์ แวววุฒินันท์ อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ดูแลคดีดังกล่าว ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบสำนวนคดีด้วยเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว และละเอียดรอบคอบมากขึ้น ส่วนจะพิจารณาสั่งฟ้องศาลหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสำนวนและพยานหลักฐาน ซึ่งจะต้องใช้เวลาตรวจสอบพอสมควร