บุรีรัมย์ - อดีต ส.ส.ร.ปี 40 ชี้ศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินคดีพิพาทเขตแดนประสาทพระวิหาร เหตุกัมพูชาร้องขอเกินกว่าคดีเก่าที่พิพากษาไปแล้วเมื่อปี 2505 หากตัดสินประเทศใดแพ้ชนะจะส่งผลกระทบความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาจนเกิดสงครามระหว่างกันและไม่สามารถยุติปัญหาพิพาทเรื่องเขตแดนได้แน่นอน
วันนี้ (16 เม.ย.) นายถาวร จันทร์สม อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540 และอดีตประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยหลังติดตามชมการถ่ายทอดสด การแถลงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจในการที่จะตัดสินชี้ขาดคดีพื้นที่พิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากกัมพูชาได้ร้องขอเกินกว่าคดีเก่าเมื่อปี 2505 ที่ศาลโลกได้วินิจฉัยกรณีปราสาทพระวิหารไปแล้ว โดยตามหลักกฎหมายศาลจะต้องไม่พิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำพิพากษาเก่า และศาลโลกไม่ควรตัดสินคดีนี้ เพราะหากมีการตัดสินจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาจนเกิดเป็นสงครามระหว่างกันได้
ทางที่ดีควรจะปล่อยให้ทั้งสองประเทสตกลงเจรจากันเอง เนื่องจากทั้งสองประเทศถือแผนที่คนละฉบับ หากยังการตัดสินคดีไม่ว่าไทยหรือกัมพูชาจะเป็นฝ่ายแพ้ ชนะ ก็ไม่สามารถยุติปัญหาพิพาทเรื่องเขตแดนได้อย่างแน่นอน และจากการติดตามชมการแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลกของฝ่ายกัมพูชา ยังมีการบิดเบือนโดยเฉพาะ การถอนทหารของทั้งสองฝ่าย
ส่วนตัวแทนฝ่ายไทยที่ไปแถลงด้วยวาจาต่อศาลโลก ควรต่อสู้เพียง 2 ประเด็น คือ ศาลโลกไม่มีอำนาจในการตัดสินคดี และเขตแดนยังมีข้อพิพาทกันอยู่ เพราะทั้งสองฝ่ายถือแผนที่คนละฉบับเท่านั้น ไม่ควรนำประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
นายถาวรกล่าวอีกว่า ศาลโลกควรปล่อยพื้นที่ดังกล่าวให้ทั้งสองประเทศได้บริหารจัดการทำผลประโยชน์ร่วมกันจะดีกว่ เพราะปราสาทพระวิหารจะถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยหมายความว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นสมบัติของประเทศใด ประเทศหนึ่ง เป็นสมบัติของประชาชนทั้งโลก ศาลควรคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวด้วย
“หากศาลโลกมีการตัดสินคดีพิพาทปราสาทพระวิหารให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแพ้ชนะ เชื่อว่ามีผลประโยชน์และมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน” นายถาวรกล่าว