ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - พบวัดชื่อมงคลต่างๆ ในเชียงใหม่ มีคนนำรถยนต์ไปให้พระทำพิธีเจิมเพื่อความเป็นสิริมงคลเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หลังมีโครงการรถคันแรก เผยเฉพาะ “วัดดวงดี” บางวันมีเจ้าของรถเข้าคิวเจิมเกินกว่า 50 คัน
คลิกเพื่อชมคลิป:
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า นับตั้งแต่ที่รัฐบาลมีโครงการรถคันแรก ซึ่งผู้ซื้อรถยนต์สามารถใช้สิทธิขอคืนเงินภาษีได้ ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ของจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มขึ้น โดยจังหวัดเชียงใหม่มีผู้ขอใช้สิทธิทั้งสิ้นเกือบ 4 หมื่นราย ซึ่งนอกจากยอดขายและยอดจดทะเบียนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ตามวัดในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น วัดดวงดี วัดชัยมงคล วัดดับภัย วัดลอยเคราะห์ เป็นต้น มีผู้ที่นำรถยนต์ออกใหม่ไปทำพิธีการเจิมเพื่อความเป็นสิริมงคลเพิ่มมากขึ้นด้วย
พระมหาเรวัต เรวัตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดดวงดี อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า วัดดวงดี นอกจากจะเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาหลายร้อยปีแล้ว ชื่อของวัดยังเป็นชื่อเป็นมงคลด้วย ซึ่งทำให้ผู้ที่ซื้อรถใหม่ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ นิยมที่จะนำรถมาเจิมที่วัดดวงดีเพื่อความเป็นสิริมงคล
ทั้งนี้ ตามปกติทางวัดจะมีผู้นำรถเฉพาะรถยนต์มาเจิมที่วัดประมาณวันละ 10-20 คัน แต่หลังจากที่มีโครงการรถคันแรก ยอมรับว่ามีส่วนทำให้จำนวนผู้ที่นำรถยนต์มาเจิมที่วัดเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งบางวันเคยมีผู้ที่นำรถยนต์มาเจิมรวมแล้วมากกว่า 50 คัน
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดดวงดีบอกด้วยว่า การเจิมรถนั้นเป็นความเชื่อของเจ้าของรถว่าจะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล และประสบพบเจอแต่สิ่งดีๆ มีโชคมีลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อนำรถไปใช้ โดยเจ้าของรถบางรายนอกจากจะเลือกมาเจิมกับทางวัดเพราะชื่อเป็นมงคลแล้ว ยังต้องมีการดูวันเวลาที่เป็นมงคลประกอบด้วย ส่วนใหญ่จะตรงกับเป็นวันพฤหัสบดี และช่วงวันหยุดต่างๆ ส่วนวันอังคารจะมีจำนวนค่อนข้างน้อย ตามความเชื่อวันที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งรถทุกคันที่นำมาเจิมที่วัดดวงดีนั้น นอกจากพระสงฆ์จะให้ศีลให้พรเจ้าของรถแล้ว จะเน้นย้ำเป็นพิเศษด้วยว่าห้ามดื่มเหล้าเบียร์เด็ดขาด
จากการสอบถามแม่ค้าที่อยู่บริเวณวัดดวงดี บอกว่า หลังจากที่มีโครงการรถคันแรก สังเกตพบว่ามีผู้ที่นำรถยนต์มาเจิมที่วัดเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนที่จะมีโครงการนี้เป็นจำนวนมาก บางครั้งพบมีผู้นำรถยนต์เข้ามาให้ทางวัดเจิมพร้อมๆ กันทีละหลายคัน จนต้องมีการรอคิวกัน หรือบางวันมีผู้นำรถยนต์มาเจิมตั้งแต่เช้าต่อเนื่องกันจนพระสงฆ์เกือบจะไม่ได้ฉันเพลก็มี
