ศูนย์ข่าวเชียงใหม่- จับแล้วผู้ต้องหาขโมยเงิน 9.2 ล้านบาทจากรถขนเงินแบงก์กรุงไทยที่แม่ริม พบเป็นพนักงานบริษัท แต่คนละชุดกับ 2 ผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้า เผยเอารถฮอนด้า ซิตี้ ประกบก่อนขโมยเงินไปซ่อนที่บ้าน อ้างลงมือคนเดียว สาเหตุเพราะระบบบริษัทห่วย รับแต่เด็กเส้น ทำงานหละหลวม กับแก้แค้นผู้บริหารเล่นงาน ด้านตำรวจไม่เชื่อลงมือคนเดียว ชี้เหตุการณ์ประจวบเหมาะเกินไป
วันนี้ (19 มี.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ พล.ต.ต.สิทธิพร ศรีจันทร์ทับ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมเงินของกลาง ในคดีเงินสด 9.2 ล้านบาทหายไปจากรถขนเงินของบริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา
โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายสุเมฆ เลิสภาณุพัฒน์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 หมู่ 3 ต.ดอนเปา อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พร้อมของกลางธนบัตรไทยพันด้วยกระดาษกาว 8,690,000 บาท ธนบัตรไทย 110,000 บาท รวม 8,8000,000 บาท พร้อมรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ทะเบียน ขฉ 5708 เชียงใหม่ ปืนยี่ห้อกล็อก 26 ขนาด 9 มม. 1 กระบอก พร้อมกระสุน ปืนยี่ห้อบาเรตต้า ขนาด 9 มม. 1 กระบอก พร้อมกระสุน เและกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 4 นัด ซองพกอาวุธปืน 7 อัน และของกลางอื่น
การจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบรถฮอนด้า ซิตี้ ซึ่งต้องสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์เงิน 9.2 ล้านบาท บริเวณลานจอดรถธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ริม จึงได้ตรวจสอบจนพบว่านายสุเมฆได้นำรถคันดังกล่าวไปใช้ในวันเกิดเหตุ และอยู่ในบริเวณลานจอดรถธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ริม ในวันเกิดเหตุ จึงได้เชิญตัวมาสอบถาม
จากการสอบถามเชื่อว่านายสุเมฆน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ ค.368/2556 ลงวันที่ 18 มีนาคม และเข้าทำการตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 24 หมู่ 3 ต.ดอนเปา อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นของนายสุเมฆ จนพบเงินของกลาง จากนั้นได้ขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.131/2556 ลงวันที่ 19 มีนาคม ทำการจับกุมนายสุเมฆ
พล.ต.ต.สิทธิพรกล่าวว่า คดีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนโดยติดตามหารถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ที่พบว่าจอดอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ประกอบการตรวจสอบรถขนเงิน พบว่าไม่มีการเปิดเซฟรถในจุดอื่นแต่อย่างใด มีเพียงการเปิดรถในที่เกิดเหตุเท่านั้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบรถทั้งหมดที่จอดอยู่ภายในบริเวณลานจอดรถของธนาคาร ตัดรถที่ไม่เกี่ยวข้องออก จนกระทั่งเหลือเพียงรถฮอนด้า ซิตี้ ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
จากนั้นจึงได้ตรวจสอบหารถฮอนด้า ซิตี้ จนทราบว่าทะเบียน ขฉ 5708 เชียงใหม่ เป็นคันเดียวกับที่จอดอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงได้สอบถามหญิงสาวซึ่งเป็นเจ้าของรถ ได้ข้อมูลว่าให้นายสุเมฆยืมรถคันดังกล่าวไปใช้ในวันเกิดเหตุ จึงได้นำตัวนายสุเมฆมาสอบปากคำ และขอหมายค้นเข้าตรวจค้นภายในบ้านเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ในเบื้องต้นนายสุเมฆให้การรับสารภาพว่านำเงินไปซ่อนไว้ในป่าใกล้บ้าน แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง พบว่านายสุเมฆซุกซ่อนเงินไว้ในโต๊ะเครื่องแป้งภายในบ้าน จึงตรวจยึดของกลางทั้งหมด พร้อมทั้งขอหมายศาลจับกุม
“นายสุเมฆเป็นพนักงานบริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด สังกัดรถคนละคันกับรถคันที่เกิดเหตุ แต่ที่ผ่านมาเคยประจำรถคันที่เกิดเหตุมาแล้ว จึงทราบกระบวนการของบริษัทและเจ้าหน้าที่ประจำรถเป็นอย่างดี อีกทั้งในวันเกิดเหตุนายสุเมฆขอลางานไว้ เบื้องต้นนายสุเมฆสารภาพว่าลงมือพียงคนเดียว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ”
พล.ต.ต.สิทธิพรกล่าวว่า เบื้องต้นเชื่อว่า นายชัชพงศ์ อุทยาน คณะกรรมการประจำรถ และนายสุดปรีชา ทองพันธ์ หัวหน้าชุดประจำรถขนเงิน ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ น่าจะมีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ เนื่องจากพบว่านายสุเมฆนำรถฮอนด้า ซิตี้ ไปจอดในจุดที่รถขนเงินต้องจอดเพื่อนำเงินส่งมอบให้ทางธนาคาร ทำให้รถขนเงินต้องย้ายไปจอดในจุดที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกภาพได้ เป็นเหตุให้เงินภายในรถถูกขโมยไป ซึ่งถือว่าเป็นเหตุที่ประจวบเหมาะเกินไป อีกทั้งจากการสอบสวนก่อนหน้านี้ก็พบว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการต่างๆ อยู่ที่การพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานชี้แจงต่อศาลต่อไป
ด้านนายสุเมฆรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง โดยทราบข้อมูลอยู่แล้วว่ารถขนเงินจะออกปฏิบัติงานในวันดังกล่าว ประกอบกับทราบว่าหัวหน้าชุดและกรรมการประจำรถทำงานโดยประมาทเลินเล่อ ไม่ล็อกรถหรือเซฟภายในรถหลายครั้ง จึงก่อเหตุโดยนำรถเข้าเทียบกับรถขนเงิน เมื่อลองเปิดประตูด้านข้างรถแล้วเปิดได้จึงได้ทดลองเปิดประตูเซฟ เมื่อพบว่าเปิดได้จึงได้หยิบเอาเงินจำนวนหนึ่งไป โดยซุกซ่อนไว้ที่บ้าน และส่วนหนึ่งนำไปซื้อปืนเพื่อสะสม และซ่อมแซมรถ
“สาเหตุที่ลงมือก่อเหตุไม่ได้เป็นเพราะเดือดร้อนเรื่องการเงิน แต่ทำไปเพราะต้องการให้บริษัทเห็นว่าการทำงานของบริษัทมีความหละหลวม รวมทั้งต้องการแก้แค้นที่เคยถูกผู้บริหารระดับสูงตำหนิเนื่องจากการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาภายในองค์กร กล่าวคือเป็นการร้องเรียนต่อผู้บริหารระดับสูง ถึงกรณีการทุจริตเงินกองกลางของพนักงาน และได้ร้องเรียนไปยังผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แต่กลับไม่มีการแก้ไข และผมก็ถูกผู้บริหารระดับสูงตำหนิ ทำให้เกิดความแค้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผลักดันให้ลงมือ”
นายสุเมฆกล่าวว่า ไม่ได้ต้องการขโมยเงินจำนวนมาก ต้องการนำไปเพียงแค่ส่วนหนึ่งเพื่อให้เรื่องเป็นที่สนใจของสาธารณชนเท่านั้น รวมทั้งขอเรียกร้องไปยังทางบริษัทให้พิจารณาแก้ไขกระบวนการทำงานให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ดูแลการคัดเลือกพนักงานให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่รับเด็กฝากเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สำหรับนายชัชพงศ์ และนายสุดปรีชานั้น รู้จักในฐานะเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด
คลิกเพื่อชมคลิป :