“บางกอกเชน” รุกขยายคลินิกชายแดนเชียงราย รับเออีซี

เชียงราย - กลุ่มบางกอกเชนเปิดคลินิกชายแดนเชียงราย รองรับผู้ป่วยทะลักเพิ่มหลังเปิดเออีซี เริ่มวางศิลาฤกษ์สร้างอาคารใหม่ที่แม่สาย ก่อนเปิดเพิ่มที่เชียงของ เชียงแสน

วันนี้ (21 ก.พ. 56) นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างคลินิกศรีบุรินทร์ สาขาเกษมราษฎร์ อ.แม่สาย ที่หมู่ 3 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ รองรับผู้ป่วยชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย ที่เพิ่มมากขึ้นจนคลินิกเดิมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กันไม่สามารถรองรับได้

นพ.เฉลิมกล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้ป่วยเข้าคลินิกเดิมซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ 3 ต.เวียงพางคำ วันละ 200-300 คน กว่าครึ่งเป็นชาวพม่า ทำให้สถานที่เดิมคับแคบ ไม่มีที่จอดรถ ขณะที่แนวโน้มเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะเกิดการถ่ายเทประชากรมากขึ้น บริษัทจึงจำเป็นต้องขยายอาคารคลินิกที่ อ.แม่สาย โดยใช้งบประมาณ 120 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนนี้

“คลินิกใหม่สามารถรองรับผู้ป่วยที่ชายแดนแม่สายได้เต็มที่ ซึ่งการรักษาที่นี่จะเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ อ.เมือง ดังนั้นชาวพม่าที่ทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราว หรือบอเดอร์พาส เข้ามาในระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตร ก็ไม่ต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่”

นพ.เฉลิมกล่าวว่า หลังจากเปิดอาคารคลินิกที่แม่สายแล้ว บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายไปยังชายแดนไทย-ลาว ด้าน อ.เชียงของ เพราะกำลังจะมีการเชื่อมถนนอาร์สามเอ ไทย-ลาว-จีน สมบูรณ์แบบในเดือนมิถุนายนนี้ ทำให้เชื่อว่าจะทำให้ชุมชนชายแดนย่านนี้ขยายตัวมากขึ้น ประชากรฝั่งประเทศเพื่อนบ้านก็เชื่อมั่นในการรักษาพยาบาลฝั่งไทยคงจะทะลักเข้ามาเพิ่มเติมอีก เพราะการคมนาคมสะดวกขึ้น ล่าสุดกำลังหาที่ดินที่เหมาะสมอยู่ แต่เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็คงจะเปิดคลินิกหรือโรงพยาบาลขนาดเล็กได้ รวมถึง อ.เชียงแสน ก็หาซื้อที่ดินเอาไว้แล้วประมาณ 11 ไร่ ซึ่งกำลังรอช่วงจังหวะที่เหมาะสมอยู่

“เราเป็นโรงพยาบาลเอกชน 1 ใน 3 ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังไม่มีเจ้าใหม่ ดังนั้นจึงต้องรักษามาตรฐานและอาศัยสถานะในการขยายการให้บริการให้ดีที่สุด โดยนอกจากที่ชายแดนเชียงรายแล้วยังจะพัฒนาโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ศรีบุรินทร์ ด้วยการขยายอาคารหลังใหม่ พร้อมเตียงอีก 100 เตียง วงเงิน 100 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสร้าง World medical center ที่พัทยา จ.ชลบุรี วงเงิน 1,500 ล้านบาท และที่กรุงเทพฯ อีกประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับทั้งผู้ใช้บริการภายในประเทศและชาวต่างชาติที่คาดว่าจะมีมากขึ้นด้วยอิทธิพลของเออีซี”